วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องย่อ ขุนดเช ตอน4 ละครช่อง 7



บัวทองงอนตะปัดตะป่องกลับบ้านบ่นให้ดาราฟังว่า ถูกขุนเดชหาว่าพูดเพ้อเจ้อและไล่ให้รีบกลับมาช่วยแม่ทำงานให้สนใจแต่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียวพอ ทั้งๆที่เรื่องที่ตนถามมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนที่นี่ทั้งนั้น

ดาราทักท้วงว่าขุนเดชอาจกลัวบัวทองไม่ปลอดภัยก็ได้ บัวทองเลยซักว่าดาราก็เชื่ออย่างที่ตนเชื่อใช่ไหม

“อาจารย์ก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ก็เคยได้ยินทีมงานของอาจารย์ประทีปเล่าให้ฟังบ่อยๆว่า พวกโจรที่มาลักขโมยวัตถุโบราณมักจะโดนตามเล่นงานจนถึงชีวิตทุกราย”

“งั้นก็แสดงว่าบางทีฆาตกรที่คอยเล่นงานพวกใจบาปทำลายสมบัติของชาติ อาจจะตามมาถึงที่นี่แล้ว และอาจจะเดินสวนไปสวนมากับพวกเราในศรีสัชฯ โดยที่เราไม่รู้ตัว”

ฟังแล้ว ดาราก็อดที่จะคิดคล้อยตามบัวทองไม่ได้เหมือนกัน

ooooooo

ที่ไร่ข้าวโพดของชาวบ้านที่มีการขุดค้นพบเครื่อง ชามสังคโลก ทั้งหม้อ ไห พอข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านก็พากันมาขุดกันอึกทึก ชิ้นไหนที่ยังสมบูรณ์ก็ยื้อแย่งกัน

ดารามาขอร้องชาวบ้านว่า นี่เป็นสมบัติของชาติ อย่าเอาไปเป็นของส่วนตัวเลย แต่ไม่มีใครฟัง ครั้นขู่ว่า

ผิดกฎหมายก็ถูกโต้ว่า “แล้วทีไอ้พวกคนรวยๆในเมืองที่มันเอาไปประดับบ้านล่ะ ไม่เห็นตำรวจจะทำอะไรมันได้สักคน”

เมื่อดาราขวางไม่ให้ชาวบ้านเอาไปก็ถูกผลักจนเกือบล้ม ดีที่ยงยุทธเข้ามาพอดีประคองไว้ทัน ถามว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่า ดาราบอกว่าตนไม่เป็นไรแต่ต้องห้ามชาวบ้านอย่าขุดทำลายอีกเพราะของทุกชิ้นมีค่าทางประวัติศาสตร์

อาจารย์ประทีปเอาโทรโข่งประกาศปรามชาวบ้านว่าทำแบบนี้ผิดกฎหมาย ชาวบ้านก็กรูกันเข้ามาโต้อย่างเผ็ดร้อนว่า

“ไม่ต้องมาขู่พวกเราหรอกอาจารย์ ตำรวจก็ดีแต่เข้าข้างคนรวย ทีกับคนจนล่ะจับได้จับเอา พวกเราไม่กลัวหรอก ใช่ไหมพวกเรา” ชาวบ้านพากันเฮโลเข้ามาจนทำท่าชุลมุน ยงยุทธจึงตัดสินใจเอาโทรโข่งจากอาจารย์ไปพูดอย่างแข็งกร้าว

“จะจนจะรวยผมไม่สน ถ้าหน้าไหนไม่เคารพกฎหมายจะลากคอเข้าคุกให้หมด ใครกล้าก็ลองดู!!”

ชาวบ้านส่วนใหญ่ชะงัก แต่มีบางรายตะโกนขึ้นว่า ตำรวจไม่มีน้ำยาถูกโจรดักตีหัวจนต้องหยอดน้ำข้าวต้มพวกเราไม่ต้องกลัว!

ยงยุทธตัดสินใจยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด ประกาศกร้าวว่า

“ใครมีสมบัติของแผ่นดินไว้ในครอบครอง จับขึ้นรถให้หมด!!”

พอเสียงปืนดัง ชาวบ้านก็พากันแตกหนีกระเจิง

ooooooo

เมื่อชาวบ้านพากันหนีไปหมดแล้ว ยงยุทธสั่งให้เอาเชือกกั้นบริเวณนั้นมีประกาศติดไว้ว่า “ห้ามเข้า” ขุนเดชเตือนอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า ข่าวสะพัดไปแบบนี้ ต้องมีพวกไม่กลัวคุกตะรางแอบมาลักลอบขุดอีกแน่ ยงยุทธบอกว่าตนจะอยู่เฝ้าเอง ใครมาได้เจอดีแน่

“งั้นฉันจะอยู่ช่วยด้วย” ขุนเดชอาสา

ระหว่างเฝ้าอยู่ด้วยกันนั้น ขุนเดชปรารภกับยงยุทธว่า

“ชาวบ้านที่มาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกยากจน เห็นว่าของพวกนี้เป็นสมบัติราคาแพงพวกเศรษฐียอมจ่ายไม่อั้นเลยแห่กันมาขุด”

ยงยุทธเห็นด้วย เขาจึงแค่ขู่เพราะไม่อยากซ้ำเติมพวกเขาอีก ขุนเดชย้ำว่าแต่ถ้าคืนนี้มีโผล่มาก็ไม่ใช่พวกชาวบ้านธรรมดาแล้ว เพราะพวกโจรมืออาชีพรู้กันแล้วว่าที่นี่คือขุมทองของมัน ยงยุทธจึงให้ปืนขุนเดชไว้ป้องกันตัว ขุนเดชไม่เอาบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ครั้นยงยุทธติงว่าแค่ดาบหักที่เขาพกติดตัวช่วยเขาไม่ได้หรอก

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องเจอกับโจรพวกนี้” พูดแล้วขุนเดชเดินออกไป ยงยุทธมองตามโดยเฉพาะมองดาบดำในมือขุนเดชอย่างครุ่นคิด...

ooooooo

คืนนี้ ปารมีลูกสาวรัฐมนตรีปราชญ์ที่สติไม่สมประกอบอีกทั้งได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ พากันเที่ยวไนต์คลับที่ผกาทำงานอยู่ พากันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว จนผกาหมั่นไส้หาว่าเสียงดังไล่แขกประจำของตนออกไปนั่งที่อื่นกันหมด แต่พอเข้าไปเตือนก็ถูกตบหน้าถามว่า “รู้ไหมฉันลูกใคร!”

ผกาถูกตบก็จะเอาคืน ถูกประดับออกมาสั่งห้ามแตะต้องเด็กคนนั้นเด็ดขาด แล้วลากผกาออกมาข้างนอกบอกว่า นั่นคือลูกสาวท่านปราชญ์ ระหว่างนั้นปารมีมาตามประดับเห็นคุยอยู่กับผกาก็ถามว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังเสนอขายตัวอยู่หรือ

ประดับบอกว่าเปล่าตนแค่เรียกมาเตือน ปารมีมองผกาด้วยหางตา บอกประดับว่าสั่งสอนเสร็จก็เข้าไปสนุกกับตน ย้ำว่าอย่าลืมล้างมือให้สะอาดด้วย “สกปรกอย่างนังนี่เดี๋ยวเสนียดจะมาติดปา”

ผกาบอกประดับว่าถ้าคืนนี้ไม่ได้ตบนังเด็กบ้านี่ตนนอนไม่หลับแน่ แต่พอประดับบอกว่าคืนนี้ให้ไปรอตนที่ห้อง เสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา พอเธอถามว่าธุระอะไร ประดับเชยคางเธอมองตายิ้มร้ายบอกว่า

“เธอก็รู้ว่าคนอย่างฉัน ไม่ยอมเป็นขี้ข้าใครนานๆ” พูดแล้วเดินตามปารมีเข้าไป ผกาได้แต่มองตามอย่างสงสัย

ooooooo

ยงยุทธบอกให้ขุนเดชไปงีบสักพักตนให้ลูกน้องผลัดเวรยามแล้ว ขุนเดชบอกว่าไม่เป็นไรตนชินแล้ว ระหว่างนั้นยงยุทธเอ่ยชื่นชมพ่อของขุนเดชว่าเป็นคนเอาการเอางาน เก่ง ใครๆก็ยกย่องว่าเป็นเหมือนทหารของพระร่วง พึมพำว่าถ้าตอนนั้นดาบดำไม่หักเสียก่อนพ่อเขาอาจไม่ตาย ถามว่า

“จริงรึเปล่าที่เขาว่ากันว่า ดาบดำเป็นอาวุธหายากที่มีเฉพาะในกลุ่มช่างตีเหล็กในศรีสัชฯ มีความคมและแข็งแกร่งเหนือกว่าดาบทั่วไป พลางจับด้ามดาบดำจะชักออกมาดู ถูกขุนเดชตะปบไว้บอกว่ามันก็แค่เรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น ตัดบทว่าดึกแล้ว ตนจะไปงีบเอาแรงหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็ลุกไปเลย

ดึกคืนนี้เอง พวกโจรแอบเข้ามา มันฆ่าตำรวจที่เฝ้ายามแต่เดินมาสะดุดเชือกที่ขุนเดชขึงไว้ ทำให้กระป๋องที่ผูกปลายเชือกกระทบกันเสียงดังปลุกขุนเดชขึ้นมา กำดาบแน่นอย่างรู้สถานการณ์!

“คนบาปอย่างพวกมึงโทษคือตายสถานเดียว” ขุนเดชพึมพำ ชักดาบดำออกจากฝัก เป็นดาบดำคมกริบที่ลุงเถินให้ไว้นั่นเอง!

การปะทะกันระหว่างตำรวจกับโจรเปิดฉากขึ้นทันที พวกโจรใช้ดาบ ส่วนตำรวจใช้ปืน ยงยุทธหมายจับเป็นโจร พวกมันมาช่วยไว้แต่ก็ถูกกระสุนปืนของยงยุทธที่ไหล่ พากันวิ่งหนี ยงยุทธไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ

ตามไปจนทัน ยงยุทธปล่อยให้มันไล่ฟันจนหมดแรงแล้วใช้เชิงมวยกระโดดตีเข่าจนมันหงายหลัง แต่พอจะตามซ้ำก็ถูกอีกคนกำทรายซัดใส่หน้า ทรายเข้าตายงยุทธจนลืมไม่ขึ้น มันฉวยโอกาสนั้นพากันหนีรอดไปได้

ขุนเดชเดินเข้ามา แต่ยงยุทธยังลืมตาไม่ขึ้นจึงพยายามออกหมัดป้องกันตัว สุดท้ายถูกขุนเดชเดินเข้าทางข้างหลังใช้ด้ามดาบดำตีเข้าที่ต้นคอทีเดียวทรุดหมดสติ ขุนเดชพูดกับร่างยงยุทธที่นอนนิ่งกับพื้นก่อนเดินไปว่า

“ฉันเสียใจด้วยนะเพื่อน คุกไม่ใช่สถานที่รับโทษของพวกมัน!”

ขุนเดชตามไปเจอโจรทั้งสองกำลังทะเลาะกันเพราะอีกคนจะทิ้งคนเจ็บเอาตัวรอด คนที่เจ็บอยู่ถูกอีกคนแทงทะลุท้อง พอมันดึงดาบออกมา ขุนเดชก็ปรากฏตัว

“สันดานโจรอย่างพวกมึง เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ฆ่าได้แม้แต่พวกเดียวกัน” มันตกใจถามว่ามึงเป็นใคร “กู...ขุนเดช เพชฌฆาตที่มาลงทัณฑ์พวกมึง”

พริบตานั้นมันยิงใส่ ขุนเดชหลบทันมันเลยหนีไปได้ ขุนเดชจึงกลับมาหาคนที่ถูกแทงนอนหายใจรวยริน มันร้องขอความช่วยเหลือ ขุนเดชมองมันด้วยแววตาเพชฌฆาต เดินเข้าประคองมันขึ้นมา...

ทันใดนั้นมีเสียงคนเดินมา ขุนเดชจึงหลบไป มันหันไปยิงรัวใส่จนกระสุนหมดลูกโม่ ถูกโจรที่ย้อนกลับมาเลือดโชก เดินโซเซมาล้มตายแทบเท้าเพื่อนมัน ขุนเดชย่องมาข้างหลังใช้ดาบดำรุกไล่โจรที่เหลือจนมันหมดแรง พริบตานั้นขุนเดชเงื้อดาบฟันดาบเดียวผ่ากลางหัวมาถึงอก ตายคาที่!

ooooooo

หลังจากได้โล่โลหะสีเขียวแล้ว ก้องเกียรติทำพิธี จู่ๆเทียนก็ดับ ควันลอยวนไปเข้าร่างปราชญ์จนหมดแล้วเทียนก็กลับติดขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

“ที่เข้ามาในตัวฉันเมื่อกี้ ฉันรู้สึกได้เลยอาจารย์ พลังของอำนาจและบารมีที่ใครๆก็ต้องยำเกรงฉัน” ปราชญ์พูดอย่างอหังการ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อก้องเกียรติบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ก้องเกียรติแจ้งว่า ปราชญ์จะต้องหาวัตถุโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ 7 อย่างเพื่อนำมาประจำไว้แต่ละทิศและลงอักขระหัวใจพยัคฆ์กำกับไว้เพื่อให้พลังนั้นเข้าสู่ตัวเขา ประดับรับฟังอยู่ด้วย ถามว่าแล้วทิศที่ 8 ล่ะ

“เมื่อได้โลหะครบทั้ง 7 อย่าง ทิศที่ 8 ก็คือท่าน “สัตตโลหะบุรุษ” ชายผู้มากด้วยอำนาจและบารมีแผ่ไพศาลไปทั่วแผ่นดิน”

“ประดับ...หน้าที่ตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ ฉันไว้ใจแกได้ใช่ไหม” ปราชญ์หันไปถามประดับ พอเขารับคำปราชญ์ก็หัวเราะอย่างผู้ยิ่งใหญ่...

ooooooo

ยงยุทธพยายามหาตัวคนที่ทำร้ายตน แต่ถามใครก็ไม่มีคนรู้ว่าเป็นใคร ไม่มีใครเห็นหน้าคนร้ายสักคน

แม้แต่ขุนเดชเองก็ตอบดาราที่ถามถึงคนร้ายว่าไม่รู้ว่าใครคือคนทำร้ายยงยุทธและตน ยงยุทธบอกว่าตนจำเป็นต้องสอบปากคำขุนเดชเพราะขุนเดชคนเดียวที่อาจจะรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร?!

แต่พอสอบปากคำขุนเดชจริงๆ ยงยุทธก็ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเพราะขุนเดชยืนยันว่าตอนนั้นมืดมากตนมอง

ไม่เห็นหน้าคนร้าย ยงยุทธขอร้องให้พยายามช่วยคิดเพราะตนไม่อาจปล่อยให้มันลอยนวลไปได้ เมื่อขุนเดชยืนกรานว่าตนไม่รู้

ยงยุทธถามตรงๆว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือพยายามช่วยพวกมันกันแน่

จ่าแท่นเห็นบรรยากาศตึงเครียด บอกยงยุทธให้ใจเย็นๆกลับถูกเอ็ดว่า พวกมันเป็นฆาตกร ถึงจะเป็นคนตามล่าฆ่าพวกโจรแต่ยังไงก็เป็นการทำผิดกฎหมาย พูดแข็งกร้าวว่า “มันไม่มีสิทธิ์มาตั้งศาลเตี้ยในพื้นที่ที่ ผมรับผิดชอบ!”

ขณะบรรยากาศกำลังตึงเครียดนั่นเอง ตำรวจนายหนึ่งมาบอกว่าพวกชาวบ้านแห่กันมาเต็มโรงพักแล้ว

ooooooo

ก่อนหน้านี้ คำปันกับบัวทองไปเดินซื้อของในตลาดหมู่บ้าน สองแม่ลูกคุยกันถึงการตายของพวกลักลอบขุดวัตถุโบราณ บัวทองบอกแม่ว่า ฆาตกรคนนั้น เป็นคนดีเพราะฆ่าแต่โจร แบบนี้ต้องเรียกว่า “วีรบุรุษบาป”

สาลี่เมียอาฮวดได้ยิน หลังจากนั้นจึงรวมตัวกับชาวบ้านไปที่หน้าโรงพัก จนยงยุทธต้องออกมารับหน้า สาลี่ก้าวออกมาบอกยงยุทธว่า พวกตนต้องการมาถามความจริง รู้สึกที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้วเพราะมี “วีรบุรุษบาป” คอยออกอาละวาดฆ่าคนอยู่

ยงยุทธให้ความมั่นใจว่า ตราบใดที่ตนอยู่ที่นี่ ตนจะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย ถูกสาลี่ย้อนว่า ตัวหมวดเองก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้วพวกตนจะไว้ใจได้อย่างไร ขุนเดชเห็นยงยุทธอึ้งไป เขาจึงก้าวออกมาพูดกับชาวบ้านว่า

“ไอ้คนที่ตาย มันสมควรตายเพราะความเลวที่มันทำ ถ้าทุกคนไม่ใช่คนเลว ไม่ลักขโมยสมบัติของชาติ จะต้องกลัวอะไรกันนักหนา”

เมื่อชาวบ้านพากันเงียบ ขุนเดชเดินมาหา มองทุกคนถามว่า

“หรือว่าที่มากดดันตำรวจ โวยวายกลัวจะไม่ปลอดภัย เพราะคิดว่าจะทำเลวอย่างพวกมัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังไงคนชั่วก็หนีไม่พ้นบาปกรรม สู้กลับบ้าน ไปตั้งหน้าตั้งตาทำงาน คอยเป็นหูเป็นตาให้ตำรวจดีกว่า”

ชาวบ้านหันมองหน้ากันอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของขุนเดช ทำให้ยงยุทธเสียหน้ามองขุนเดชอย่างไม่พอใจ

กลายเป็นเรื่องผิดใจกันของยงยุทธกับขุนเดช ยงยุทธตำหนิขุนเดชว่าการกระทำของเขาทำให้ตนกลายเป็นหัวหลักหัวตอต่อหน้าชาวบ้าน ขุนเดชบอกว่าตนก็แค่พูดความจริงไม่อย่างนั้นชาวบ้านจะยิ่งสิ้นศรัทธาในตัวเขา

ยงยุทธย้อนกลับมาถามอีกว่างั้นให้เขาบอกมาว่าใครเป็นคนฆ่าโจร ขุนเดชบอกว่าไม่รู้ ยงยุทธดักคอว่าไม่รู้หรือไม่ยอมบอก เพราะเขาเองก็สะใจที่มีฆาตกรอย่างนั้นมาคอยช่วยปกป้องสมบัติของชาติที่ทั้งตัวเขาและพ่อเขาทุ่มเทชีวิตปกป้อง

“พอได้แล้วยงยุทธ” เสียงดาราดังแทรกเข้ามา ยงยุทธหันมอง ดาราพูดใส่หน้าเขาว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะทำให้ฉันผิดหวังได้มากขนาดนี้”

ดารามองยงยุทธอย่างไม่พอใจ แล้วหันประคองขุนเดชพาขึ้นรถขับออกไป ยงยุทธมองตามด้วยความเสียใจ...

ooooooo

พาขุนเดชกลับถึงกระท่อมแล้ว ดาราจะทำแผลให้ ขุนเดชบอกว่าเดี๋ยวตนจัดการเอง ดาราถามว่าอะไรทำให้ยงยุทธต้องกดดันเขาถึงเพียงนั้น ขุนเดชติติงว่ายงยุทธต้องทำตามหน้าที่เธอไม่ควรไปว่าเขาเพราะจะทำให้เขาหมดกำลังใจ ตัดสินใจบอกดาราว่า “คุณไม่รู้หรอกดารา ว่ายงยุทธรักคุณมากขนาดไหน”

“แล้วเธอล่ะขุนเดช เธอเคยรักฉันบ้างรึเปล่า” ดาราถาม ขอร้องให้เขาตอบอย่าให้ตนต้องอยู่กับความสงสัยอีกต่อไปเลย

“ผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับคุณหรอกดารา ยงยุทธมันเป็นคนดี เหมาะสมกับคุณที่สุดแล้ว กลับไปหามันเถอะ คุณเป็นคนเดียวที่จะทำให้มันมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป”

ดาราทั้งเสียใจ น้อยใจถามว่า เขายืนยันว่านี่คือ คำตอบใช่ไหม นี่เป็นคำตอบที่เขาทิ้งตนไปใช่ไหม

“ใช่...เหตุผลที่ผมจากไปในวันนั้น...มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ผมรักใครไม่ได้ เพราะชีวิตผมถูกลิขิตให้ต้องเดินตามรอยพ่อ ปกป้องสมบัติของแผ่นดินไม่ให้ถูกทำลาย”

ขณะนั้น บัวทองเอาปิ่นโตและกล่องยามาให้ขุนเดช เห็นดาราอยู่กับเขาในกระท่อมจึงแอบฟังอยู่ข้างนอก ได้ยินคำสนทนา และได้ยินขุนเดชบอกดาราว่า “ไปซะเถอะดารา ผมมีคนที่คอยช่วยเหลืออยู่แล้ว”

ครู่หนึ่งเห็นดาราเดินร้องไห้ออกมา บัวทองทนไม่ได้วิ่งเข้าไปทุบขุนเดชด่าว่าใจร้าย หัวใจทำด้วยอะไรถึงได้ใจยักษ์ใจมารแบบนี้ ขุนเดชยืนให้บัวทองทุบไม่ตอบโต้หรือปัดป้องแม้แต่น้อย...

บัวทองบอกขุนเดชว่า ตนรักดาราเหมือนพี่สาวคนหนึ่งไม่ยอมให้เขาทำร้ายพี่สาวตนอย่างนี้ บอกขุนเดชต้องขอโทษดาราเห็นขุนเดชยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้ก็โมโหทั้งทุบทั้งเอาก้อนหินขว้าง จนถูกขุนเดชรวบตัวดึงเบาๆ บัวทองก็ปลิวเข้าไปเกือบปะทะอกเขา

ความใกล้ชิดทำให้บัวทองใจเต้นไม่เป็นส่ำทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งขุนเดชปล่อยเธอออก บอกว่า

“บัวทองไม่ต้องห่วง พี่จะหาโอกาสไปขอโทษดาราเอง” พูดแล้วขุนเดชเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป ทิ้งบัวทองให้ยืนใจเต้นตึ้กตั้ก...ตึ้กตั้ก...อยู่คนเดียว...

ooooooo

ยงยุทธเดินหน้าหาคนฆ่าเถรกับพวกโจรลักขุดสังคโลกต่อไป ถามหมอน้อยว่าการฆ่าทั้งสองกรณีเป็นอาวุธอันเดียวกันหรือเปล่า ซึ่งหมอน้อยก็บอกได้แค่ว่าเถรถูกทำร้ายด้วยของแข็งแต่ตายเพราะพิษงู ส่วนโจรสองคนนั้นถูกของมีคมมากๆฆ่าตาย แต่จะเป็นอะไรนั้นไม่อาจระบุได้ นอกจากต้องมีอาวุธมาเปรียบเทียบกับรอยบนศพ

จ่าแท่นบ่นว่ายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เพราะตอนนี้ศพทั้งหมดก็ถูกเผาไปแล้ว

“โธ่เว้ย! ไอ้วีรบุรุษบาป แกกับฉันต้องได้เจอกันสักวันแน่!” ยงยุทธสบถด้วยความแค้น

เรื่อง “วีรบุรุษบาป” ไม่เพียงสร้างความวิตกกังวลแก่ชาวบ้านและตำรวจเท่านั้น แม้แต่สัมฤทธิ์ก็ยังนำเรื่องนี้ไป บอกกำนันผู้เป็นพ่อ แต่กำนันเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ เชื่อว่าเป็นการฆ่าเพราะหักหลังกันเองมากกว่า

“ถ้ามันหักหลังกันเองมันก็ต้องเอาสังคโลกไปด้วยสิพ่อ แต่นี่มันไม่แตะต้องอะไรเลย มันไล่ฆ่าแล้วก็เอาศพไปแขวนประจาน” สัมฤทธิ์ยังไม่วางใจ

กำนันด่าลูกชายว่าอย่าทำเป็นกระต่ายตื่นตูมหน่อยเลย เพราะพวกนั้นเป็นพวกนักขุดหางแถว แต่พวกตนไม่ใช่ปรามว่า แล้วอย่าเอาเรื่องวีรบุรุษบาปอะไรนั่นมาพูดให้ได้ยินอีก พลางคว้ากระเป๋าใบใหญ่ พยักหน้าให้ลูกน้องออกเดินทาง

สัมฤทธิ์ถามว่าพ่อจะไปไหน กำนันบอกว่าไปลับแล พอสัมฤทธิ์ขอไปด้วยก็ไม่ให้ไปบอกว่าไปเกะกะเปล่าๆ เพราะ “ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ เรื่องที่ข้าต้องรู้ให้ได้”

ooooooo

วันนี้ ขุนเดชมาหาคำปันที่บ้าน บอกว่าคนที่เคยมาทำบุญที่วัดเคยเห็นบัวทองรำ เขาชอบจึงให้ตนมาติดต่อให้ไปรำถวายที่งานวัด คำปันขอบอกขอบใจและชวนอยู่กินข้าวด้วยกัน

คำปันเดินเข้าบ้านไปแล้ว ขุนเดชหันมายิ้มกับบัวทอง ทำเอาบัวทองเงอะงะเพราะยังไม่หายเขิน ขุนเดชเอาแต่ยิ้ม บัวทองเลยขู่ว่า ยิ้มอะไร ตนไม่ฟ้องแม่ก็บุญแค่ไหนแล้ว ขุนเดชทำหน้าตายบอกว่าตนไม่ได้ทำอะไรบัวทองสักหน่อย

“ยังมาพูดอีก!! ไม่รู้ล่ะ พี่บอกฉันว่าพี่จะหาโอกาสขอโทษอาจารย์ดารา งานวัดคราวนี้เป็นโอกาสดีของพี่แล้ว ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด เข้าใจไหม!” บัวทองจ้องหน้าเอาจริงเอาจัง ขุนเดชไม่บิดพลิ้วแต่แอบยิ้มอย่างมีเลศนัย

เมื่องานวัดมาถึง ดาราแต่งหน้าให้บัวทอง แต่เจ้าตัวไม่อยากให้แต่งมาก อ้างว่ากลัวจะเกินหน้านางรำคนอื่น แต่ที่แท้เพราะเห็นขุนเดชมายืนอยู่ พอดาราออกไป บัวทองก็ไล่เขาให้รีบตามไปขอโทษดาราเร็วๆ

เมื่อบัวทองออกรำ สัมฤทธิ์มายืนดูอยู่ มันถามลูกน้องว่านางรำคนนั้นเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า งามถูกใจมาก ลูกน้องบอกว่าชื่อบัวทองเป็นหลานสาวจ่าแท่น

“บัวทอง...หึๆ มาศรีสัชฯคราวนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ” สัมฤทธิ์จ้องบัวทองตาเป็นมัน

เวลาเดียวกัน ขุนเดชเดินตามดารามา บอกว่า “ดารา...เรื่องวันนั้น...ผม...”

ไม่ทันที่ขุนเดชจะพูดต่อ หยินก็วิ่งมาบอกดาราว่า แย่แล้ว เปี๊ยะมีเรื่องกับพวกนักเลง

ที่เกิดเหตุ กบนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกำลังถูกลูกน้องของสัมฤทธิ์ลวนลาม เปี๊ยะเข้าไปช่วยก็ถูกพวกมันผลักอกไล่ไม่ให้มายุ่ง สัมฤทธิ์มาช่วยลูกน้อง ด่าเปี๊ยะว่าวอนหาเรื่องโดนกระทืบรึไง

“ปล่อยเด็กนั่นไปซะ” ขุนเดชเดินเข้ามาสั่ง

สัมฤทธิ์หันขวับถามว่าเป็นใคร กล้าดียังไงมาสั่งตน ขุนเดชยืนนิ่ง มันนึกว่ากลัว หัวเราะเยาะว่ากลัวจนใบ้กินเลยหรือ ถึงยังไงก็ต้องโดนกระทืบอยู่ดี แล้วหันไปหัวเราะกับลูกน้องอย่างผยอง

ขุนเดชตรงเข้าไปใช้มือเดียวจับมือสัมฤทธิ์บิดจนมันร้องลั่น พวกลูกน้องต่างชักมีดออกมาพร้อมลุย ขุนเดชใช้ศอกกระแทกกลางหลังสัมฤทธิ์ แล้วดึงปืนที่เหน็บหลังออกโยนให้เปี๊ยะ ผลักสัมฤทธิ์ถลาไปทางลูกน้องมัน แล้วใช้ด้ามดาบดำไล่ตีพวกมันทั้งที่แสกหน้า ที่แขน ที่แข้ง จนพวกมันล้มกันระนาว

“ไสหัวไปให้พ้น ถ้าเห็นพวกมึงมาเกะกะแถวนี้อีกเมื่อไหร่ละก็...” ขุนเดชทำท่าจะชักดาบออกมา เปี๊ยะเอาปืนของสัมฤทธิ์ที่ขุนเดชโยนให้มาช่วยขู่ พวกมันเลยต่างเผ่นตัวใครตัวมัน

เปี๊ยะชื่นชมขุนเดชมากขอให้เขาช่วยสอนการจัดการพวกนักเลงแบบเมื่อกี้ให้ด้วยได้ไหม ขุนเดชไม่ตอบแต่เอาปืนไปปลดกระสุนออกหมดแล้วเดินไปหาดาราบอกว่า


“งานวัดคืนนี้ไม่สนุกสำหรับพวกคุณแล้ว คุณควรพาลูกศิษย์กลับไปพัก” พูดแล้วจะเดินไป ดาราเรียกไว้ถามว่า

“ขุนเดช...แล้วเรื่องที่เธอจะคุยกับฉันล่ะ”

ขุนเดชมองหน้าเธอนิ่งแต่ไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเงียบ ยังความผิดหวังแก่ดาราอย่างมาก

ooooooo

ประดับกับผกามาตั้งแคมป์ที่ริมน้ำตก ระหว่างนั้น พรานนำทางซุบซิบอะไรกันอย่างตึงเครียดลแล้วพากันเก็บข้าวของ ประดับถามลูกน้องว่าพวกพรานทำอะไรกัน

“มันเจอทางเข้าถ้ำลับแลที่เราจะไปเอาสมบัติโบราณแล้วครับ แต่มันกลัวผีป่าจำแลงฆ่าเอา มันเลยจะหนี”

เท่านั้นเอง ประดับถือปืนเข้าไปยิงทิ้งพวกพรานอย่างเหี้ยมโหด ผกาถามว่ายิงพวกนั้นทำไม ประดับตอบอย่างเลือดเย็นว่า เมื่อมันหมดหน้าที่แล้วก็ไม่มีประโยชน์สำหรับตนอีก บอกลูกน้องว่าคืนนี้เราจะเข้าไปเอาสมบัติกัน สั่งผกาให้รออยู่ตรงนี้ แต่ผกากลัวจึงตามประดับเข้าไป

ฝ่ายกำนันเดินป่ามาเห็นรอยเท้ามากมาย ก็คาดว่าพวกประดับคงอยู่แถวนี้ สั่งลูกน้องให้ไปตามทางหนึ่ง ตนจะไปอีกทาง พอแยกกันแล้ว กำนันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงแหวกพุ่มไม้แอบดู

ที่ริมลำธาร ผกานุ่งกระโจมอก หันมองอย่างท้าทาย ยั่วยวน แล้วปลดผ้าลงเล่นน้ำ กำนันเหมือนโดนมนต์สะกดลงแช่น้ำกับผกา กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างถึงพริกถึงขิง พริบตาเดียว กำนันก็ผลักผกาออก ชักดาบที่เหน็บเอวออกจากฝัก

“คิดว่าหลอกข้าได้เหรอนังผีป่าจำแลง!” กำนันพลิกคมดาบที่มียันต์อักขระกำกับอยู่ที่เนื้อดาบ ผีป่าจำแลงถอยหนี กำนันกำดาบไล่ฟัน ผีป่ากรีดร้องเลือดสาด ก่อนหายวับไป

ooooooo

ผกาเข้าไปในถ้ำกับประดับ เธอมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว ถามประดับว่าสมบัติที่เขาตามหาคืออะไรหรือ?

“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินบริสุทธิ์ สมบัติที่โยนกนครส่งมาให้หนานคำสือผู้สร้างเมืองลับแล แต่สูญหายระหว่างทาง”

ทันใดนั้น ลูกน้องประดับร้องบอกอย่างตื่นเต้นว่า “คุณประดับครับ...เจอแล้วครับ”

ประดับรีบไปดู เขายกกล่องจากหลุมขึ้นมา ใช้ด้ามปืนทุบสลักที่ล็อกกล่องออก เมื่อเปิดกล่องก็พบเทวรูปนารายณ์ขนาดหนึ่งศอก หล่อจากเงินบริสุทธิ์ สวยงาม และดูขลังจนตื่นตะลึง

“ในที่สุดก็เจอจนได้” ประดับพูดอย่างดีใจสุดๆ แต่ขณะเขาจะเอาเทวรูปใส่กระเป๋าเป้นั่นเอง ผกาก็กรีดร้อง สุดเสียง ประดับกับลูกน้องหันไปดู เห็นนักรบโบราณหน้าตาถมึงทึง ถือดาบคู่เป็นอาวุธ จ้องมาตาแดงก่ำ!

ooooooo

ที่งานวัด...ขุนเดชเดินอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่กำลังเที่ยวงานวัดกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน สัมฤทธิ์ สะกดรอยตามทัน มันบุกเข้ายิงในระยะเผาขน แต่เป็นจังหวะที่ชาวบ้านในซุ้มยิงปืนลมยิงขึ้นมาก่อน ขุนเดชหันไปมอง กระสุนของสัมฤทธิ์เลยพลาดเป้าไปโดนตุ๊กตาเป้าปืนลมแทน

ชาวบ้านแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลหม่านบังทางปืนของสัมฤทธิ์จนมันยิงขุนเดชไม่ได้เลยยิงขึ้นฟ้า ชาวบ้านเลยยิ่งแตกตื่น และขุนเดชก็หายไปท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย

“มึงหนีกูไม่พ้นหรอก...ไอ้ขุนเดช!”

ดารากับบัวทองถามชาวบ้านที่วิ่งมาว่าเกิดอะไรขึ้น พอชาวบ้านบอกว่าขุนเดชถูกพวกสัมฤทธิ์ไล่ยิง บัวทองก็วิ่งสวนชาวบ้านไปหาขุนเดชจนดาราห้ามไม่ทัน

ที่หลังวัด ขุนเดชถูกลูกน้องสัมฤทธิ์สองคนไล่ตามมารุม คนหนึ่งถูกขุนเดชใช้เชิงมวยเล่นงานจนกระเด็นไปกระแทกเจดีย์กระอักเลือดหมดสติ อีกคนยิงใส่ก็ถูกขุนเดชเอาด้ามดาบดำรับกระสุนกระเด็นแล้วฟาดมือมันจนปืนกระเด็น จากนั้นพุ่งเข้าศอกกลับหลังจนมันเลือดกบปาก สลบในศอกเดียว

ยงยุทธมาที่เกิดเหตุให้จ่าแท่นพาชาวบ้านที่ถูกลูกหลงบาดเจ็บออกไป ส่วนตัวเองต่อสู้กับลูกน้องสัมฤทธิ์ที่ตามประกบ มันล่อยงยุทธให้ไล่ตามไปคนละทิศกับที่สัมฤทธิ์กำลังไล่ตามขุนเดชไป แต่ในที่สุดลูกน้องสองคนนั้นก็ถูกยงยุทธที่ฝีมือเหนือกว่าจับใส่กุญแจมือไว้ด้วยกัน

สัมฤทธิ์ไล่ตามขุนเดชไปยิงรัวไล่ล่าจนกระสุนเหลือนัดเดียว ขุนเดชท้าว่าตนจะยืนเป็นเป้านิ่งให้มันยิงด้วยกระสุนนัดสุดท้าย ถ้ายิงไม่โดนก็ให้คลานเป็นหมา กลับไปหากำนันได้เลย

ขุนเดชยืนเป็นเป้านิ่งให้ยิง เขาแหงนมองก้อนเมฆบนท้องฟ้าอย่างคิดคำนวณ สัมฤทธิ์เล็งอย่างดี แต่พอเหนี่ยวไกเมฆก็บดบังดวงจันทร์พอดีทำให้มันยิงพลาดเป้า มันรีบบรรจุกระสุนแต่ช้าไปแล้ว ขุนเดชสั่งสอนมันด้วยเชิงมวยจนเลือดกบปากสะบักสะบอม ขณะขุนเดชกระชากมันขึ้นมาง้างหมัดสุดท้าย ไม่ทันชกยงยุทธก็เข้ามาห้ามไว้ แต่สัมฤทธิ์ก็หมดสติไปแล้ว

ooooooo

ในถ้ำลับแล...ประดับกับผกาพากันวิ่งหนีนักรบโบราณ ประดับยิงใส่ไม่ยั้งแต่ไม่ระคายผิวนักรบโบราณเลย ตัวเองกลับถูกนักรบโบราณฟันจนบาดเจ็บ จังหวะที่ประดับสู้อย่างจนตรอกและกำลังจะถูกนักรบโบราณฟันนั่นเอง ดาบเหล็กน้ำพี้ของกำนันก็พุ่งเข้าปักอกนักรบโบราณจนชะงัก

กำนันโผล่พรวดเข้ามาบริกรรมคาถา อึดใจเดียวร่างนักรบโบราณก็หายวับไป

“กำนัน?” ประดับอุทานทึ่งตะลึงงัน

เมื่อนักรบโบราณหายไปแล้ว ลูกน้องกำนันก็ช่วยทำแผลให้ลูกน้องประดับ ส่วนกำนันก็เข้าช่วยผกาอย่างหาเศษหาเลย แต่ไม่ทันไรประดับก็ออกมาพร้อมปืนจ่อไปที่กำนัน เอ่ยขอบใจแต่ปืนพร้อมยิง กำนันพูดอย่างไว้เชิงว่าตนเพิ่งช่วยชีวิตเขาไปเมื่อครู่นี้เอง

“นั่นมันพอแล้วสำหรับคำขอบใจที่ฉันบอกไป ถ้ากำนันไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าถ้ำก็บอกมาว่าสะกดรอยตามมาทำไม” กำนันบอกว่ารู้ว่าเขามาตามหาสมบัติที่ถ้ำลับแลแต่คงไม่ได้เตรียมตัวมารับมือ ผกาใจไม่ดีบอกประดับว่าเรากลับดีกว่า เพราะเขาก็ได้เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินไปให้ท่านแล้ว

ขณะประดับพาผกาและลูกน้องออกไปนั้น กำนันมองตามอย่างสงสัย...

“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงิน...โล่โลหะเขียวของโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์...หรือว่า?” กำนันฉุกคิดตาเป็นประกาย!

ooooooo

สัมฤทธิ์ถูกจับไปขังที่สถานีตำรวจ มันเอะอะโวยวายอวดอ้างบารมีกำนันผู้เป็นพ่อ ขู่ยงยุทธว่าพ่อกำนันไม่ปล่อยให้ตนถูกขังอยู่ในนี้หรอก

ยงยุทธเดินมาหาขุนเดชที่อยู่กับดาราและบัวทองบอกว่า สัมฤทธิ์หมดสิทธิ์ที่จะออกมาอาละวาดหาเรื่องเดือดร้อนให้ใครอีกแล้ว ขุนเดชติงว่า คุกแค่นั้นขังมันได้ไม่นานหรอก

“ถึงมันจะเป็นลูกชายกำนัน แต่ทุกคนก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน” ยงยุทธตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“งั้นฉันจะคอยดูว่าแกจะรับมือกับอิทธิพลเถื่อนได้สักกี่น้ำ”

ยงยุทธโมโหจนดาราต้องหย่าศึก เตือนสติว่า “พวกเธอเป็นเพื่อนกันนะ เรื่องแค่นี้อย่าต้องมาทำให้แตกแยกกันเลย” ทั้งคู่จึงสงบลง ขุนเดชขอตัวกลับ บัวทองบอกยงยุทธว่าควรจะฟังขุนเดชบ้างเพราะขุนเดชเป็นห่วงเขา ยงยุทธบอกว่าตนจะระวังตัวก็แล้วกัน บัวทองจึงออกไปเพื่อบอกขุนเดช

ยงยุทธขอคุยกับดาราเรื่องขุนเดชเป็นการส่วนตัว ยงยุทธเล่าข้อสงสัยต่อขุนเดชให้ดาราฟังว่า ขุนเดชเคยบอกว่าเขาไม่เหลือวิชาของลุงเถินที่ถ่ายทอดให้แม้แต่นิดเดียว แต่เหตุการณ์เมื่อคืนตนเห็นขุนเดชจัดการสัมฤทธิ์แล้วเชื่อว่าขุนเดชโกหกแน่ๆ เพราะฝีมือตอนนี้ของขุนเดชร้ายกว่าที่ตนเคยรู้จักด้วยซ้ำ

“แล้วขุนเดชจะทำอย่างนั้นทำไม”

“ผมไม่รู้... แต่ถ้าเหตุผลที่มันโกหกผมเป็นเรื่องไม่ดีละก็...”

“ยงยุทธ!!” ดาราอุทานเรียกใจคอไม่ดีกับท่าทีขึงขังของเขา

แล้วดาราก็ได้รับรู้ตอกย้ำคำพูดของยงยุทธ เมื่อได้ฟังเปี๊ยะเล่าถึงความเก่งกาจของขุนเดชที่ปราบพวกนักเลงให้เพื่อนๆฟัง อีกทั้งกบนักศึกษาหญิงที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็ยืนยันอย่างชื่นชม ดาราก็เริ่มคิดตามคำพูด ของยงยุทธ

และวันนี้เอง ดาราถูกงูเห่ากัดขณะออกพื้นที่ ขุนเดชรีบเข้าช่วยเขาดูดพิษงูจากบาดแผล ฉีกแขนเสื้อมัดเหนือบาดแผลแล้วอุ้มดาราพาไปที่รถจี๊ปของทีมสำรวจขับออกไปอย่างเร็ว

ระหว่างทางเขาคอยบอกดาราว่าห้ามหลับ ให้มองหน้าตนไว้ ดาราพึมพำในสภาพเกือบหมดสติว่า

“ขุนเดช...ฉัน...ฉันรักเธอนะ...ขุนเดช ฉันเชื่อว่าเธอเป็นคนดี...” พลางมือเธอก็ไขว่คว้าเหมือนหาที่ยึด ขุนเดชกุมมือเธอไว้ พูดอย่างใจคอไม่ดีว่า

“คุณจะตายไม่ได้นะดารา...คุณต้องอยู่กับผม...” แต่แล้ว ดาราก็ค่อยๆหลับตาแน่นิ่งไป ขุนเดชเรียกอย่างตกใจสุดขีด “ดารา...ดารา!!”

ooooooo

ประดับเอาเทวรูปนารายณ์เนื้อเงินไปวางไว้ที่ทิศพายัพในคฤหาสน์ของปราชญ์

“ขอบใจมากนะประดับ เหนื่อยมากเลยสิกว่าจะได้มา อีกเดี๋ยวอาจารย์ก้องเกียรติจะมาทำพิธีให้ฉันแล้ว เธอไปพักผ่อนได้ ไม่ต้องอยู่กับฉันหรอก” เมื่อประดับจะออกไป ปราชญ์พูดอีกว่า “อ้อ...ฉันฝากเธอให้จัดการอีกเรื่องหนึ่ง ช่วยไปดูยัยปาให้ฉันหน่อย หมู่นี้ชักทำตัวเหลวไหลเข้าไปทุกวัน ฝากด้วยนะ”

ประดับรับคำเดินออกไป แล้วหันมองปราชญ์ที่กำลังชื่นชมเทวรูปด้วยแววตาร้ายลึก

แล้วประดับก็ดูแลปารมีอย่างใกล้ชิดลึกซึ้งถึงเตียงนอน ปารมีคบประดับอย่างเด็กสาวใจแตก แต่ประดับ มีแผนลึกซึ้งที่จะผ่านปารมีไต่เต้าขึ้นเป็นเขยรัฐมนตรี!

วันนี้ คุณหญิงผู้เป็นแม่จะพาปารมีไปโชว์ตัวกับลูกชายเจ้าสัวที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก หมายจับลูกเจ้าสัวนักเรียนนอกมาเป็นเขย แต่หารู้ไม่ว่า ขณะประดับมาเปิดประตูรถให้ปารมีนั้น เธอพูดเบาๆกับเขาว่า

“ประดับไม่ต้องห่วงนะคะ ทั้งหัวใจและร่างกายของปาเป็นของพี่คนเดียว...ปาได้ยินมาว่า คุณพ่อจะส่งพี่ไปจัดการธุระที่สุโขทัย พี่ต้องทำงานให้คุณพ่อประทับใจให้ได้นะ แล้วปาจะสนับสนุนพี่เต็มที่”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น