วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องย่อ ขุนเดช ตอน 3 ละครช่อง7



ขุนเดชช่วยดาราขึ้นจากน้ำในสภาพหมดสติ เขาผายปอดจนดารารู้สึกตัว ก็พอดีได้ยินเสียงยงยุทธร้องเรียกดารา ขุนเดชจึงตัดสินใจทิ้งดาราไว้กับยงยุทธ เมื่อดาราลืมตาขึ้นจึงคิดว่ายงยุทธเป็นคนช่วยชีวิตตนไว้ ส่วนยงยุทธรู้ว่ามีคนช่วยดาราก่อนตนมาแต่มองหาไม่เห็น เขาเดาได้ว่าคนแบบนี้เป็นใครไม่ได้นอกจาก...ขุนเดช

ยงยุทธพาดาราไปหาหมอน้อยชายวัย 60 ปีผู้มีจิตใจดี หมอน้อยตรวจแล้วบอกว่าร่างกายดาราปกติดีทุกอย่างเหลือแต่แผลจากรอยหินบาด แล้วหมอจะนัดมาทำความสะอาดแผลวันหลัง

ระหว่างหมอน้อยออกจากห้อง ยงยุทธกับดาราจึงได้คุยกันตามลำพัง ดาราบอกว่านึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเขาที่นี่ ที่ผ่านมาก็ได้แต่คอยติดตามผลงานของเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น

“ผมอยู่ไม่ค่อยเป็นที่หรอกดารา ไล่จับโจรไปทั่วเพราะอยากเอาพวกคนชั่วเข้าตะรางให้หมด แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องมาถูกแขวนอยู่ที่นี่”

ดาราดูท่าทีเขาแล้วถามว่าเหมือนมีอะไรจะบอกตน ยงยุทธบอกว่าคนที่ช่วยชีวิตเธอไม่ใช่ตน เขาไม่บอกว่าเป็นใครแต่จะพาไปหา ยังความแปลกใจงุนงงแก่ดารามาก

ooooooo

ที่โบราณสถาน...ยายแช่มกับตากล่ำสองผัวเมียชาวบ้านผู้ยากจน พาเถรลูกชายที่เพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาฝากทำงานกับขุนเดชเพราะที่อื่นพากันปฏิเสธไม่รับคนเคยติดคุกเข้าทำงาน แต่ขุนเดชรับบอกตากับยายว่า

“ตายายไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เคยเป็นอะไร ทำอะไรมาฉันไม่สนใจ ถ้าขยันตั้งใจทำงานไม่เดินทางเก่าอีก ฉันช่วยเต็มที่”

ตากับยายดีใจมาก บอกเถรให้ขอบคุณขุนเดชเสีย เถรยกมือไหว้ ขุนเดชยิ้มรับบอกเถรว่า

“ไปกินข้าวกินปลาก่อนแล้วกัน ฉันจะไปดูเจดีย์ตรงนั้นหน่อย ได้ยินว่าคืนก่อนไอ้พวกโจรมาลักขุดกรุ ขุดกันจนยอดเจดีย์หัก”

เมื่อขุนเดชเดินออกไปแล้ว ตากล่ำกำชับลูกชายว่า

“ได้ยินที่ขุนเดชบอกแล้วใช่ไหมไอ้เถร อย่าก่อเรื่องอีกเชียวนะ ไม่งั้นข้าจะไม่ช่วยเอ็งอีก”

เถรทำหน้าเซ็งเบื่อคำบ่นของพ่อกับแม่

ooooooo

ยงยุทธขับรถพาดาราไปที่โบราณสถาน ชี้ให้ดูขุนเดชที่กำลังเดินสำรวจเจดีย์อยู่ไม่ไกลนัก บอกดาราว่า

“นั่นไง...คนที่ผมเคยสัญญาว่าจะตามหามันให้คุณได้เจออีกครั้ง”

“ขุนเดช...” ดาราอุทานอย่างคิดไม่ถึง ยงยุทธเห็นแล้วเศร้าใจกับความดีใจของดารา บอกเธอว่าได้เวลาที่ขุนเดชจะตอบคำถามร้อยแปดที่คาใจเธอมาตลอด แล้วยงยุทธก็ยืนมองดาราที่เดินไปหาขุนเดชหงอยๆก่อนขึ้นรถขับออกไป

ดาราที่เปี่ยมด้วยความตื่นเต้นดีใจเมื่อได้พบ

ขุนเดช เธอชะงักวูบเมื่อเจอท่าทีที่เย็นชา ห่างเหินของเขา

ดาราถามว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตตนแล้วทำไมจึงทิ้งตนไว้ ขุนเดชตอบอย่างเย็นชาว่าฝนกำลังจะตกหนักตนกลัวดินจะถล่มถ้ำพระศิลาจึงต้องรีบกลับมาดู ย้อนถามว่าจะเป็นยงยุทธหรือตนช่วยเธอไว้มันสำคัญด้วยหรือ ดาราอึ้งไปกับท่าทีหมางเมินเย็นชาของเขา พูดเหมือนตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า

“ขุนเดช!! เธอหนีหน้าฉัน หนีทุกคนที่เธอรู้จักแล้วหายตัวไปเป็นสิบปี แต่พอเจอกันอีก เธอกลับทำเหมือนว่าเราไม่มีอะไรจะคุยกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ บอกฉันมาสิ” ขุนเดชเงียบ ดาราถามว่า “ขุนเดช เธอรู้ไหม ก่อนที่พ่อจะเสียพ่อยังถามหาเธอนะ”

“ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์ ผมมีงานที่ต้องทำอีกมาก ขุนเดชที่อาจารย์เคยคุยด้วย ตอนนี้เป็นหัวหน้าช่างตกแต่งกรุ เป็นลูกจ้างคณะโบราณคดีไม่ใช่ขุนเดชที่อาจารย์เคยรู้จัก” ขุนเดชพูดอย่างเย็นชาแล้วเรียกเถรให้ขับรถพาอาจารย์ดาราไปส่งที่แคมป์ด้วย ยังความตะลึงอึ้งแก่ดาราจนพูดไม่ออก

ขุนเดชเดินไปในป่าเขาหลวง หยุดที่หน้าถ้ำศิลาแววตาแดงก่ำ เข้าไปจุดไฟที่คบ ขุนเดชมองที่องค์พระศิลาซึ่งบัดนี้เหลือแต่องค์พระที่ไร้เศียร น้ำตาขุนเดชไหลอาบหน้า เสียงที่เปล่งออกมาเครือสะท้านด้วยความแค้น...

“เจดีย์ก็ยอดหัก...พระก็คอขาด ลูกเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไอ้พวกใจบาปหยาบช้า มันเหมือนทำปิตุฆาต มันฆ่าพ่อของลูก ไอ้พวกเดนนรก!!”

ooooooo

ส่วนยงยุทธออกจากดาราแล้ว เขาไปหาอาจารย์ประทีปผู้ที่เขาเชื่อว่ารู้จักขุนเดชดีเพราะขุนเดชตระเวนทำงานกับอาจารย์ไปทั่วประเทศมาหลายปี อาจารย์มองอย่างสงสัย ยงยุทธจึงเล่าอดีตที่อาจารย์เคยช่วยชีวิตตนและขุนเดชไว้ อาจารย์จึงจำได้เล่าให้ยงยุทธฟังว่า ที่นี่เป็นบ้านเกิดของขุนเดช ที่ที่พ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาขุนเดช

อาจารย์ประทีปเล่าว่าตอนนั้นขุนเดชเพิ่งอายุได้ 10 ขวบ ช็อกหมดสติจำความไม่ได้ หลวงพ่อสุขไปเจอเลยเอามาเลี้ยง ยงยุทธติงว่านั่นไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ขุนเดชจะทิ้งอนาคตทิ้งพวกตนโดยไม่บอกลาสักคำ

“ผมคิดว่า ขุนเดชอาจจะเหมือนกับนายเดื่องพ่อของเขา ที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานดูแลโบราณสถาน เลยไม่อยากเอาชีวิตไปผูกติดกับใครให้ต้องเป็นห่วงเป็นภาระ”

ดาราผ่านมาได้ยินการสนทนานั้น เธอจึงเข้าใจว่า ทำไมขุนเดชจึงเอาแต่ผลักไสเธอตลอดมา...

ooooooo

เมื่อเถรมาทำงานกับขุนเดช มันรับใช้กำนันบุญ เอางานที่พวกอาจารย์จากกรุงเทพฯขุดพบพระพุทธรูป พระพิมพ์ที่สภาพดีไม่มีบิ่นไม่มีหักไปบอกกำนัน ที่ลักลอบขายวัตถุโบราณแก่ชาวต่างชาติ กำนันกับสัมฤทธิ์ลูกชายกำลังจะไปกรุงเทพฯจึงมอบหมายให้มันกับไอ้นะไอ้เณจัดการทางนี้ สั่งว่า

“ข้ากลับมาเมื่อไหร่พวกเอ็งต้องมีของดีให้ข้าเห็นนะเว้ย”

ฝ่ายขุนเดช เข้าถ้ำศิลา กราบพระศิลาตั้งปณิธานปฏิญาณว่า

“พระคุณเจ้า ลูกได้กล่าวปฏิญาณไว้แล้วว่า ชีวิตของลูกไม่ได้เกิดมาเหมือนคนอื่น ลูกเป็นลูกหลานของพระร่วงเจ้า เป็นทหารของพระร่วง มีหน้าที่ปกป้องสมบัติของบรรพบุรุษ แม้ลูกต้องก่อบาปก่อกรรม วิญญาณจะมอดไหม้เพราะไฟบรรลัยกัลป์ ลูกก็จะไม่ร้องขอความเมตตา ลูกยินดีชดใช้กรรมที่ก่อในนรกภูมิ”

ขุนเดชกราบองค์พระศิลา หยิบดาบดำที่เหน็บพกจากเอวด้านหลังขึ้นมา ชักดาบดำของพ่อที่หักครึ่งออกมาเพ่งมองด้วยแววตาอันดุดัน

ooooooo

คืนนี้ฝนตกหนัก บ้านพักที่ดาราพักอยู่หลังคารั่วจนต้องเอาถ้วยชามกะละมังอ่างรองไปรอบห้อง จนบัวทองเอากับข้าวมาให้เห็น จึงชวนดาราไปอยู่เสียด้วยกันที่บ้าน คำปันต้อนรับอย่างอบอุ่น พูดให้ดาราสบายใจว่าห้องหับมีเหลือเฟือ อยู่กันแค่สองแม่ลูก มีอาจารย์มาอยู่ด้วยบัวทองดีใจจนยิ้มหุบไม่ลงเลย

แต่ในยามฝนตกหนักเช่นนี้ ขุนเดชเป็นห่วงหลวงลุงซึ่งรู้จักกับหลวงพ่อสุขเป็นอย่างดีจึงให้ขุนเดชมาอาศัยกุฏิวัดอยู่ คืนนี้หลวงลุงยังอยู่ที่โบสถ์ ขุนเดชกลัวหลวงลุงต้องเดินตากฝนจึงเอาร่มมาให้ หลวงลุงพูดอย่างเมตตาว่า

“ทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน ไปนอนพักเถอะ”

“ผมยังหนุ่มยังแน่น นอนเยอะๆจะบ่มนิสัยขี้เกียจจนเคยชินครับ”

ระหว่างเดินกลับกุฏินั่นเอง ยงยุทธสะกดรอยตามจนถึงหน้ากุฏิ ขุนเดชรู้โดยสัญชาตญาณร้องท้าให้ออกมาอย่าทำตัวเป็นหมาลอบกัด ยงยุทธออกไปตามคำท้าแต่ออกไปด้วยลีลาเพลงดาบอย่างดุดัน ขุนเดชรับมือแล้วจึงรู้ว่าเป็นยงยุทธ

ยงยุทธถีบยอดอกขุนเดชกลิ้งไปเปื้อนโคลน

ทั้งตัว แล้วควงดาบด้วยเชิงดาบอันสวยงาม กวักมือให้ขุนเดชลุกขึ้นสู้ ขุนเดชปาดน้ำฝนที่โชกหน้าลุกขึ้นจ้องยงยุทธเขม็ง! แต่ไม่สู้ บอกยงยุทธว่าตนเลิกแล้ว ยงยุทธไม่เชื่อเพราะขุนเดชยังเหน็บดาบติดตัวตลอดเวลา

ไม่ว่ายงยุทธจะยั่วยุอย่างไรขุนเดชก็ไม่สู้ เอาแต่ยกดาบทั้งปลอกขึ้นรับจนดาบหลุดมือ ยงยุทธไปหยิบดาบขึ้นมาชักออกจากฝัก เขาตะลึงงันเมื่อดาบนั้นมีเพียงครึ่งเดียวและไม่มีความคมเหลืออยู่เลย!

เมื่อพายงยุทธไปกระท่อมที่พัก ในกระท่อมนอกจากเครื่องนอนที่จำเป็นแล้วก็มีอุปกรณ์สำหรับหล่อพระพุทธรูปที่ตั้งเรียงราย ยงยุทธบ่นที่ขุนเดชทิ้งเพื่อนไปโดยไม่บอกอะไรเลย ขุนเดชชี้แจงเรียบๆว่ากลัวบอกแล้วเพื่อนจะห้ามจนตนเปลี่ยนใจ พูดกับยงยุทธอย่างคนมีความคับแค้นที่กรุ่นอยู่ในจิตวิญญาณตลอดเวลาว่า

“ยงยุทธ แกก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน ถ้าแกได้รู้ว่าพ่อแกเป็นคนยังไง รักแกมากกว่าชีวิตของเขาเอง แกจะทำเหมือนฉันรึเปล่า”

“เออว่ะ...งั้นฉันขอโทษด้วยที่เล่นงานแกซะได้เลือด เอาเป็นว่าเรื่องคดีฆาตกรรมของพ่อแก ฉันจะช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” ขุนเดชบอกว่าไม่ต้อง แต่ยงยุทธยืนยันว่า “ไม่ได้ว่ะเพื่อน ความยุติธรรมมันอยู่ในมือฉันแล้ว ถ้าฉันใช้เรียกร้องมาให้แกไม่ได้ ฉันก็ไม่ควรสวมเครื่องแบบตำรวจอีก และก็ไม่สมควรเป็นเพื่อนแกด้วย” ยงยุทธเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นจนขุนเดชหนักใจ

ooooooo

ภายนอก ขุนเดชพกแต่ดาบหักไร้ความคม แต่ทุกค่ำคืนเขาฝึกซ้อมเพลงดาบอย่างมุ่งมั่นด้วยดาบดำที่ลุงเถินมอบให้ซึ่งเขาเก็บซ่อนไว้อย่างดี ทั้งยังซุ่มตีดาบด้วยปณิธานว่า

“ข้าน้อยขุนเดช กราบขอขมาครูบาอาจารย์และวิญญาณบรรพบุรุษ จากนี้ไปจะขอหลอมหัวใจขึ้นมาใหม่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม”

ขุนเดชปักดาบดำที่ลุงเถินให้ลงในเตาหลอม จากนั้นตีดาบเล่มใหม่ขึ้นมามีความสวยงามและคมกว่าดาบดำเล่มเดิม

ขุนเดชประเดิมดาบเล่มใหม่ด้วยการกำราบพวกโจรกับนายหน้าค้าทับหลังที่ลักมาจากปราสาทขอม ไล่ตามโจรอีกสองคนที่หนีเข้าป่าฟันผ่ากลางหัวลงมาถึงอกด้วยดาบเดียว และจัดการอีกคนที่ถูกบ่วงรัดห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้

การฆ่าพวกลักลอบขโมยวัตถุโบราณเกิดขึ้นทุกที่ที่อาจารย์ประทีปไปสำรวจจนอาจารย์แปลกใจ ขุนเดชถามว่า ไม่ดีหรือพวกนั้นไม่กลัวกฎหมายเจอแบบนี้เสียบ้างจะได้เข็ด

“แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป อาจารย์ไม่สนับสนุนกฎหมู่เหนือกฎหมาย”

ขุนเดชนิ่ง แต่เมื่อกลับกระท่อม เขาบอกกับตัวเองว่า “กฎหมายใช้ได้แต่กับพวกที่มีสามัญสำนึก พวกสันดานโจรที่แม้แต่พระแต่เจ้า มันยังลักตัดเศียร พวกสิ้นศรัทธาอย่างมัน ต้องศาลเตี้ยเท่านั้นถึงจะเอาอยู่”

ooooooo

ปราชญ์ รัฐมนตรีผู้มีเบื้องหลังการสะสมและค้าวัตถุโบราณ เมื่อถูกวิญญาณเจ้าของเดิมมาทวงถามก็เรียกก้องเกียรติมาทำพิธี ก้องเกียรตินั่งสมาธิสวดมนต์แล้ว เตือนว่า ถ้าคิดจะสะสมของพวกนี้เพื่อเสริมบารมีก็ต้องหมั่นสวดมนต์คาถาป้องกันภัยและสร้างอำนาจกำกับไว้ด้วย

ปราชญ์มีกำนันบุญเป็นผู้หาโบราณวัตถุมาให้ ชิ้นที่ถูกใจปราชญ์มากที่สุดคือ เศียรพระศิลา ที่กำนันเอามาให้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พูดกับกำนันที่เอาของใหม่มาให้ว่า

“เพราะนอกจากความงดงามของศิลปะสุโขทัยแล้ว ฉันยังรู้สึกว่าพระศิลามีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามซ่อนอยู่ในพระเนตรที่เพ่งมองฉัน”

ooooooo

ที่คฤหาสน์รัฐมนตรีปราชญ์นี่เอง ประดับลูกชายนายพลที่ก่อกบฏและหนีตามพ่อไปอยู่อังกฤษเพิ่งกลับมาทำงานเป็นมือขวาของปราชญ์ มีเรื่องกับสัมฤทธิ์ลูกชายกำนันบุญ เมื่อประดับจับได้ว่าสัมฤทธิ์ถ้ำมองปารมีลูกสาววัยขบเผาะของปราชญ์ที่สระว่ายน้ำ

ประดับชกสัมฤทธิ์จนเลือดโชก สัมฤทธิ์ชักปืนออกมา ก็พอดีกำนันมาห้ามไว้ ขอโทษปราชญ์ว่าอย่าเอาเรื่องลูกชายตนเลย นิสัยมันมุทะลุแต่ฝีมือมันดีช่วยตามหาของดีๆมาให้ท่านหลายชิ้นแล้ว

ปราชญ์บอกว่าไม่เป็นไร แค่เด็กทะเลาะกัน เตือนให้ดูแลลูกชายให้ดีด้วยเพราะได้ข่าวว่ามีตำรวจฝีมือดีย้ายไปอยู่ที่ศรีสัชนาลัย ระวังจะไปรบกวนงานที่ตนมอบหมายให้ กำนันบอกว่าคงเหมือนตำรวจอื่นทั่วไปไม่น่ามีปัญหา

“อย่าประมาท...ชื่อเสียงตำรวจคนนี้ถึงลูกถึงคนอยู่ คงอวดเก่งกล้าดีไปทับเส้นใครเข้าเลยโดนสั่งย้าย”

เป็นจริงอย่างปราชญ์เตือน เพราะยงยุทธกำลังปราบปรามพวกลักลอบทำไม้เถื่อน สั่งอายัดไม้ของกลาง แม้จะถูกมือปืนดักยิงก็ไล่ล่าจนจับตัวได้มันสารภาพจนจับเสี่ยผู้บงการได้ เสี่ยโวยวายท้าทาย จนยงยุทธต้องเอามือปืนคนนั้นมายืนยันว่าเสี่ยเป็นคนจ้างวานฆ่า เสี่ยถึงกับหน้าซีดเมื่อจำนนด้วยพยานหลักฐาน

ooooooo

เมื่อรับเถรเข้าทำงาน ขุนเดชแจกเสียมสำหรับขุดให้ประจำตัว จ่อยคนงานเก่าติงขุนเดชว่าไม่น่ารับเถรเข้ามาทำงานเลย คนอย่างมันไม่เคยทำงานสุจริตหรอก มันเป็นนักขุดเจดีย์มืออาชีพ ขุดมาแล้วหลายที่

“ฉันไม่ไล่ออกหรอก คนล้มควรจะได้รับโอกาส แต่ถ้าได้โอกาสแล้วยังไม่เลิกสันดานเดิม...ก็ค่อยว่ากัน”

ต่อมาขุนเดชไปดูเจดีย์ที่ถูกลักลอบขุด พิจารณาจากหลุมแล้ว ขุนเดชพึมพำอย่างแค้นใจว่า

“ทิ้งหลักฐานไว้ซะใหญ่โตเลยไอ้สารเลว ไอ้เถร กูให้โอกาสมึงแล้วแต่ในเมื่อมึงไม่อยากได้ มึงก็เป็นได้แค่ไอ้คนบาป!”

หลังจากนั้นไม่นานเถรก็บอกกับตากล่ำและยายแช่มว่าตนจะลาออกจากงานแล้วเพราะทั้งเหนื่อยและไม่เห็นทางรวยสักที ตากล่ำกับยายแช่มตำหนิที่ทำงานได้ไม่ทันไรก็ลาออก เถรเถียงและด่าพ่อกับแม่ที่เกิดมาจนทำให้ตนต้องอดๆอยากๆ ทำให้ตากล่ำโกรธด่า “ไอ้ลูกทรพี” ลุกพรวดจะฟาดเถร ถูกเถรจับมือไว้แล้วผลักอย่างแรงจนตากล่ำเซไปชนเสาหมดสติ

ขุนเดชพากล่ำไปให้หมอน้อยรักษา หมอน้อยรำพึงว่าสงสารสองตายาย คนเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงลูกมาเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยามแก่ตัวลงก็หวังฝากผีฝากไข้ลูก แต่ลูกก็มาอกตัญญูไม่รู้หัวใจมันทำด้วยอะไร

“ไอ้เถรเหมือนงูเห่าที่ชาวนาเก็บมาเลี้ยงครับหมอ มันไม่รู้จักคำว่ากตัญญูหรอกครับ คนประเภทนี้จะรอให้บาปลงโทษอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ” ขุนเดชพูดหน้านิ่งขรึม

ooooooo

ยงยุทธทำงานอย่างมุ่งมั่นที่จะกวาดล้างอิทธิพลเถื่อนในศรีสัชนาลัย เรื่องเกี่ยวพันถึงกำนันบุญ เมื่อพยานปากสำคัญเกี่ยวกับคดีของกำนันหายสาบสูญไป จนศาลสั่งยกฟ้อง เมื่อยงยุทธมารื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ ไปคุยกับกำนันก็ได้รับคำปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นกับการหายตัวไปของพยาน

แต่ที่แท้กำนันส่งคนไปจับพยานปากสำคัญนั้นฆ่าถ่วงน้ำไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย ส่วนเมียของพยานก็ถูกสัมฤทธิ์ข่มขืนย่อยยับมันขู่ว่าถ้าปากโป้ง ครั้งต่อไปจะไม่ใช่มันคนเดียว ทำให้เมียพยานไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีกเลย

หลังจากได้รับคำปฏิเสธจากกำนันแล้ว ยงยุทธขอโทษที่รบกวนทั้งที่ใจไม่เชื่อคำปฏิเสธของกำนัน แต่ต้องปล่อยสายยาวเพื่อสืบสาวต่อไป

ooooooo

ผลักตากล่ำชนเสาจนหมดสติแล้ว เถรไปนั่งดวดเหล้าคนเดียวที่กระต๊อบกลางนา จู่ๆขุนเดชก็โผล่มาพูดว่า

“มีคนบอกข้าว่าคืนก่อนเอ็งไปขุดเจดีย์ที่เชลียง”

เถรปฏิเสธพัลวันหาว่ามีคนอิจฉาเลยใส่ร้ายตน แบบนี้ตนลาออกดีกว่า ขุนเดชไม่ปฏิเสธแต่บอกว่าเรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง บอกเถรว่าเพื่อความสบายใจให้ไปสาบานกันที่หน้าเจดีย์ที่โดนขุดกันไหม ถ้าไม่ไว้ใจตน จะเอาชะแลงไปด้วยก็ได้ ส่วนตนจะมีแค่ข้องใบเดียว

เมื่อไปถึงเจดีย์ ขุนเดชบอกเถรว่ารอยขุดเป็นรอยเดียวกับชะแลงของเถร ตนจำได้เพราะตีด้วยมือตัวเองทุกอันจะมีตำหนิเพื่อจะได้รู้ว่าอันไหนรอยไหนเป็นของใคร แต่เถรก็ยังปากแข็ง ขุนเดชจึงให้สาบาน ให้เอามือล้วงลงไปในข้องถ้าไม่เป็นไรแสดงว่าเถรบริสุทธิ์

ในที่สุด เถรก็ตาย เพราะในข้องนั้นมีงูเห่าอยู่ มันล้วงลงไปแล้วรู้สึกถูกกัดแต่มันทำใจแข็งชักมือออกมาบอกว่าไม่มีอะไร แต่พอเดินออกมาถึงริมตลิ่ง พิษงูแผ่ซ่านไปทั่วตัว มันค่อยๆทรุดลงอย่างหมดแรง...

ooooooo

คืนนี้ ยงยุทธกินข้าวที่บ้านกำนัน ช่วงหนึ่งเห็นกำนันบัญชาลูกน้องให้ขนลังเข้าไปเก็บในห้อง กำชับห้ามใครมายุ่งถ้าดูแลไม่ดีโดนเล่นงานเรียงตัวแน่

ขณะยงยุทธแอบดูอยู่หลังเสานั่นเอง ถูกทิพย์ลูกสาวสติไม่สมประกอบของกำนันที่เกิดกับรำพันเมียใหม่ มาจับไหล่หมับถามว่าเล่นอะไรอยู่หรือ เล่นด้วยคนสิ ยงยุทธรีบปิดปากทิพย์ให้เงียบ

กำนันได้ยินเสียงผิดปกติเดินมาดู ปรากฏว่าตรงนั้นไม่มีใครแล้ว เลยไม่ติดใจสงสัย

ยงยุทธพาทิพย์หลบไปที่มุมลับตาในบ้าน รำพันตามมาเจอบ่นลูกว่ามาทำอะไรแถวนี้พ่อเขาไม่ชอบ พลางดึงทิพย์ไปโอบไว้ ยงยุทธมองอย่างแปลกใจ รำพันจึงหันมาพูด...

“เอ่อ...ขอโทษด้วยนะคะผู้หมวด ไปเถอะทิพย์ เดี๋ยวพ่อเขามาเห็น”

รำพันถูกกำนันตบหน้าเพราะสัมฤทธิ์ฟ้องว่าเห็นเธอกับทิพย์อยู่กับยงยุทธ รำพันสาบานว่าตนไม่ได้พูดอะไร ยงยุทธบังเอิญเจอทิพย์และตนก็รีบไปพาทิพย์กลับมา ยืนยันว่าตนไม่เคยขัดคำสั่งของกำนันแม้แต่ครั้งเดียว

สัมฤทธิ์ยุกำนันผู้เป็นพ่อว่า ผู้หมวดคนนี้แสบจริงๆ หยามหน้ากันแบบนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว อย่างน้อยต้องสั่งสอนเสียบ้าง ซึ่งกำนันก็หน้าเครียดอย่างเอาเรื่องเช่นกัน

ooooooo

ระหว่างขับรถกลับบนเส้นทางถนนลูกรังนั้น ยงยุทธบอกจ่าว่าตนเห็นกับตาว่ากำนันพยายามซุกซ่อนบางอย่างไว้ ท่าทางจะเป็นของสำคัญที่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ จ่าแท่นเสนอให้ออกหมายค้นเลยดีไหม

“จะเอาอะไรไปเป็นข้ออ้างล่ะจ่า เราเป็นเจ้าหน้าที่ราชการ ทุกอย่างต้องโปร่งใส ขืนไปใช้อำนาจในมือโดยพลการ ถอดเครื่องแบบออก เราก็อันธพาลดีๆนี่แหละ”

ไปได้ไม่นานรถก็เจอตะปูเรือใบจนต้องเบรกสนั่น ทั้งสองรู้ว่าต้องมีเหตุร้ายแน่ พอชักปืนออกมาก็ถูกระดมยิงจากข้างทางสนั่นหวั่นไหว จ่าถูกปืนที่แขนจนได้เลือด ยงยุทธให้จ่ารอที่นี่ตนจะตามมันไป

ที่แท้เป็นพวกสัมฤทธิ์นั่นเอง มันสั่งลูกน้องให้ล่อยงยุทธไปตามแผน พอลูกน้องโผล่ไปล่อ ยงยุทธก็ใช้ปืนลูกซองของทางราชการยิงไปทันที

ยงยุทธถือปืนลูกซองไล่ยิง เจอสัมฤทธิ์เอาผ้าขาวม้าพันหน้าโผล่มาใช้ดาบฟันฉับ เขาเอาปืนรับไว้ได้ แล้วกระโดดถีบสัมฤทธิ์จนจุก มันคลานหนีไปพิงต้นไม้ ยงยุทธไล่ตามไป ตกหลุมพรางของมัน เหยียบเอากับดักสัตว์เข้าเลือดสาด สัมฤทธิ์ฉวยโอกาสนั้นเอาพานท้ายปืนกระแทกหน้ายงยุทธจนสลบเหมือด!

ooooooo

จ่าแท่นรีบขับรถจะกลับไปขอกำลังหนุน รถถูกยิงถังน้ำมันรั่วไปไม่ถึงโรงพักจึงแวะไปที่บ้านคำปัน เจอดารากับบัวทองอยู่ด้วยกัน จ่าเล่าเหตุการณ์ให้ฟังบอกว่ากำลังจะไปตามคนที่โรงพักไปช่วยยงยุทธ

บัวทองได้ยิน คว้าจักรยานปั่นออกไปทันที ดาราเกรงว่ากว่าบัวทองจะไปถึงโรงพักคงไม่ทันกาล เธอคิดถึงขุนเดชขึ้นทันที รีบไปหาขุนเดชที่กระท่อม บอกว่ายงยุทธกำลังแย่ให้รีบไปช่วย

แต่เมื่อขุนเดชและตำรวจไปถึงป่าที่เกิดเหตุ ไม่พบยงยุทธแล้ว เจอแต่ปลอกกระสุนลูกซองตกเกลื่อน เชื่อว่าต้องมีการต่อสู้กันในบริเวณนี้แน่ เดินไปอีกนิดเจอรอยเลือดเป็นทางและพบปืนลูกซองทิ้งไว้ ขุนเดชหยิบปืนขึ้นมาถามดาราว่า นี่เป็นปืนลูกซองที่ราชการใช้อยู่หรือเปล่า ตำรวจนายหนึ่งยืนยันว่า นี่เป็นปืนของหมวดยงยุทธ

ดาราตกใจเมื่อตามหาไม่เจอยงยุทธ ถามว่ามันจะฆ่าเขาไหม

“ใจเย็นๆก่อนนะดารา ยงยุทธมันเป็นคนดี พระต้องคุ้มครอง” ขุนเดชปลอบใจทั้งที่ตัวเองก็เป็นห่วงเพื่อนมาก

ooooooo

ประดับกลับมาหาผกาคู่ขาที่ทำงานในไนต์คลับ เจอเธอกำลังนัวเนียต่อรองราคาค่าเลี้ยงดูจากเสี่ยอยู่ ประดับให้ลูกน้องไปกระชากคอเสื้อเสี่ยหงายขึ้นมาดูหน้า เสี่ยตะคอกถามว่า “เฮ้ย...ลื้อเป็นใครวะ” ประดับไม่ตอบแต่ซัดหมัดใส่ไปสองสามหมัดจนเสี่ยเลือดกำเดาพุ่งร่วงผล็อยหมดสติไปทันที

ประดับพาผกาไปที่บ้านเขา ผกาอ้อนว่าไม่นึกว่าเขาจะกลับมาหาตนเพราะเห็นได้เป็นเลขาคนใหญ่คนโต ประดับถามว่าถ้าตนลืมเธอแล้วจะกลับมาหาหรือ

ขณะออดอ้อนนัวเนียกันอยู่บนเตียงนั่นเอง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ประดับเอื้อมมือไปรับ เขาหน้าเครียดทันที

“ครับท่าน มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ...ได้ครับ... ผมจะรีบจัดการให้ท่าน”

วางสายแล้ว ประดับนิ่งคิด ผกายังนอนรออยู่ที่เตียง มองอย่างสงสัยว่าเขาคุยอะไร กับใคร?

ooooooo

วันรุ่งขึ้น บัวทองไปที่ร้านอาฮวด ได้ยินเสียงเมียอาฮวดคุยกับลูกค้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น ลูกค้าคนนั้นบอกว่าไปเห็นศพมากับตา เละดูไม่ได้เลย อีกคนก็พึมพำว่าเห็นกันอยู่หลัดๆ ยังหนุ่มแน่นอยู่แท้ๆ ไม่น่ามาตายไวเลย

“เดี๋ยว...ที่บอกว่าเจอศพน่ะ เจอศพใคร” บัวทองถามหน้าตาตื่น

พอกลับมาถึงบ้าน ได้ยินคำปันผู้เป็นแม่รำพึงรำพันถึงยงยุทธว่าเป็นคนดี เชื่อว่าเขาต้องเอาตัวรอดได้ พอดีขุนเดชเข้ามาดาราถามทันทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขุนเดชส่ายหน้าบอกว่า

“ผมกับพวกชาวบ้านช่วยกันตามหาแล้ว ไม่มี ร่องรอยอะไรเลย แต่ผมเชื่อว่าพวกมันคงไม่คิดจะ

ฆ่ายงยุทธหรอก เพราะถ้ามันจะฆ่าจริงๆ เราคงเจอศพไปแล้ว”

พอดีบัวทองเดินบ่นกลับมาอย่างหัวเสียว่า “โธ่ เอ๊ย...เล่าซะตกอกตกใจนึกว่าจะเป็นศพผู้หมวด เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน” คำปันได้ยินรี่เข้าไปหยิกบัวทองดุว่านี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องไม่ดีแบบนี้หรือ? บัวทองทำหน้าเหยเกชี้แจงว่า

“แม่...ฉันไม่ได้พูดไม่ดีกับผู้หมวดนะ ฉันได้ยินพวกชาวบ้านที่ร้านอาหารอาฮวดคุยกันว่าเจอศพคนตาย”

คำปันคร่ำครวญถึงหมวดยงยุทธทันที บัวทอง ได้ทีขี่แพะไล่ว่า

“นั่นไง...แม่ได้ยินแค่นี้แม่ยังคิดเหมือนฉันเลย...” ดาราถามว่าไม่ใช่หมวดใช่ไหม “ค่ะอาจารย์ เป็นศพของไอ้เถรลูกน้องพี่ขุนเดชนั่นแหละ พวกชาวบ้านไปเจอ

ศพแถวเจดีย์ที่มีโจรไปลักขุดพระเมื่อวันก่อน เขาว่าถูกงูพิษกัดตาย นี่แหละ...ที่เขาว่าบาปกรรมมันตามทัน ทำร้ายพ่อตัวเองจนเข้าโรงพยาบาลไปไม่ทันไร ก็มาโดนงูพิษกัดตาย”


ทันใดนั้น จ่าแท่นเข้ามาบอกอย่างตื่นเต้นดีใจว่า เจอหมวดยงยุทธแล้ว ดาราดีใจมากถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง??

ooooooo

หมวดยงยุทธถูกนำตัวส่งไปที่อนามัย หมอน้อยตรวจดูแล้วบอกว่าทั่วไปไม่มีอะไร จะมีก็แผลที่ข้อเท้าต้องใช้เวลาสักระยะ ดาราที่รีบไปเยี่ยม บอกยงยุทธว่า ปลอดภัยแล้วนะ...คำปันกับบัวทองก็โล่งอกไปด้วย

จ่าแท่นพาขุนเดชไปที่ท่าน้ำชี้ให้ดูจุดที่ชาวบ้านพบร่างยงยุทธถูกใส่เรือลอยมาตามน้ำ แล้วหันไปถามไอ้ตุ่นว่าเป็นคนเจอใช่ไหม เล่าให้ขุนเดชฟังซิ

หลังจากฟังชาวบ้านช่วยกันเล่าแล้ว จ่าแท่นขอบใจทุกคนบอกให้ไปทำงานกันเถอะ แล้วหันมาคุยกับขุนเดชว่า

“น่าแปลกไหมขุนเดช ที่ไอ้โจรพวกนั้นมันปล่อยให้ผู้หมวดรอดกลับมา”

“สิ่งที่พวกมันทำ เลวยิ่งกว่าฆ่าผู้หมวดทิ้งอีกครับลุงจ่า” จ่าแท่นมองหน้าถามว่าหมายความว่ายังไง “พวกมันไม่ฆ่าแต่จงใจให้ชาวบ้านพบยงยุทธในสภาพแบบนั้น เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่า ต่อให้เป็นตำรวจที่เก่งสักแค่ไหน ถ้ามันอยากให้ตาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้!!”

จ่าแทนถึงกับอึ้งกับการมองได้อย่างแหลมคมของขุนเดช ส่วนขุนเดชขบกรามกำหมัดแน่นแค้นแทนเพื่อน

ooooooo

รุ่งขึ้น ดาราไปเยี่ยมยงยุทธที่อนามัย พบว่า พยาบาลกำลังเก็บเตียงอยู่ เธอตกใจถามว่ายงยุทธหายไปไหน พอดีหมอน้อยเดินมา เลยตอบแทนพยาบาลว่า

“อาจารย์มาก็ดีเลยครับ ผมอยากให้อาจารย์ช่วยไปพูดกับหมวดเขาหน่อย ผมพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง ดื้อเหลือเกิน”

พอรู้เรื่องจากหมอน้อย ดารารีบออกจากสถานีอนามัยไป...

ที่โรงพัก ยงยุทธในชุดตำรวจแต่ยังเดินกะเผลกอยู่ ส่วนจ่าแท่นก็มีผ้าพันแผลที่แขน ทั้งสองเดินมาเจอผู้ต้องหายงยุทธกะเผลกพรวดเข้าไปคว้าคอเสื้อมันถามว่าพวกมันเป็นใคร

ผู้ต้องหาตอบเสียงสั่นว่าตนไม่รู้...ไม่รู้จริงๆจะเอาไปสาบานวัดไหนก็ได้

“งานนี้วัดวาไม่เกี่ยว มีแต่ลูกปืนที่จะตัดสินว่าคำพูดของพวกแกมันเชื่อได้แค่ไหน” จ่าเสียงเข้ม แต่มันก็ยังบอกว่า ไม่รู้เรื่องจริงๆ อ้อนวอนตัวสั่นให้ปล่อยตนเสียเถอะ ยงยุทธบอกจ่าแท่นให้ปล่อยเสียมันคงไม่รู้จริงๆ จ่าลังเล เขาเลยโบ้ยหน้าให้ดูที่เป้ากางเกงมัน จ่าแท่นเห็นเป้าแฉะโชกไปด้วยฉี่จึงเข้าใจ

ooooooo

ยงยุทธกัดฟันทนความเจ็บปวดเดินออกมา จ่าตามมาถามว่า จะทำอย่างไรต่อไปดี เพราะหมอนี่เป็นเบาะแสเดียวที่เรามี แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“พวกมันจงใจทำให้ผมขายหน้า แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่า คนอย่างผมยิ่งพยายามเหยียบให้จมมากเท่าไหร่ พวกมันนั่นแหละที่จะต้องจมหนักกว่าผมหลายเท่า...จ่า เอาแฟ้มคดีที่ค้างอยู่ทั้งหมดมาให้ผม คดีไหนที่ค้างอยู่ ผมจะล้างให้เกลี้ยง จะได้รู้กันว่าพวกมันกับผมใครจะอยู่...ใครจะไป”

จ่าแท่นเห็นยงยุทธกัดฟันทนความเจ็บปวดก็ทักท้วงว่า อาการเจ็บของหมวดยังไม่หายดีไม่ใช่หรือ

“กว่าผมจะรอให้แผลมันตกสะเก็ด พวกชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าหันหน้ามาพึ่งตำรวจไร้น้ำยาอีกแล้วล่ะจ่า” ยงยุทธยังมุ่งมั่นที่จะทำงานต่อไปในสภาพนี้ ทั้งที่

เจ็บแผลจนแทบทรงตัวไม่อยู่

“ต้องรอให้เธอพิการจนเดินไม่ได้ก่อนใช่ไหม

ยงยุทธ เธอถึงจะเลิกดื้อเสียที” เสียงดาราแทรกเข้ามา

แทนที่จะยับยั้งชั่งใจ ยงยุทธกลับบอกว่า เธอไม่ต้องมาเสียเวลากับตน ตนไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ดาราอ้างหมอน้อยที่บอกว่า ถ้าเขาไม่พักรักษาตัวให้ดีอาจเดินไม่ได้อีกเลยก็ได้

ยงยุทธยังดื้อรั้น จนดาราท้าว่าถ้าเขาแน่จริงให้

เดินเขย่งด้วยเท้าข้างที่เจ็บมาหาตนดู ยงยุทธฮึดขึ้นมา แต่ยังไม่ทันก้าวก็เซจะล้มเสียแล้ว เลยถูกดาราอบรมว่า

“ยงยุทธ ขนาดฉันยังไม่มั่นใจเธอ แล้วเธอจะทำให้คนอื่นฝากชีวิตไว้กับเธอได้ยังไง ทีนี้ก็ยอมรับได้แล้วใช่ไหม ว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องฟังฉัน”

ooooooo

ดาราพายงยุทธไปที่วัดเกาะน้อย ให้หลวงลุงรักษาด้วยสมุนไพร ยงยุทธแผดเสียงอย่างเจ็บปวดลั่นไปหมด จนขุนเดชถามว่า ร้องเสียลั่นวัด มิน่าเล่าถึงได้หนีออกจากอนามัย ที่แท้ก็กลัวเจ็บนี่เอง ยงยุทธสวนไปทันทีว่า ตนไม่ได้กลัวเจ็บ

“งั้นก็อยู่เฉยๆให้หลวงลุงรักษา สมุนไพรพวกนี้เป็นแพทย์ทางเลือกที่อาหมอกับหลวงลุงช่วยกันศึกษา ถือว่าเธอโชคดีที่ได้เป็นหนูทดลอง” ดาราปรามไปขู่ไปขำๆ

ยงยุทธขำไม่ออก หมอน้อยบอกว่า ในเมื่อไม่ยอมให้ตนรักษาที่อนามัยก็ต้องใช้ทางเลือกที่คิดว่าน่าจะได้ผลดีที่สุด

“แล้วนอกจากสรรพคุณรักษาแผลที่เท้าเธอแล้ว ยังใช้รักษาแผลในปากเธอได้อีกนะ เผื่อไปจับผู้ร้ายแล้วปากแตกจะได้เอามาป้ายให้แบบนี้” พูดแล้วก็แกล้งเอายาป้ายปากยงยุทธ ทำเอาหมวดหนุ่มปัดป่ายวุ่นวาย

“ไม่เอา...รีบๆรักษาผมเถอะครับหลวงลุง ผมจะได้รีบไปจับผู้ร้าย”

ดาราหัวเราะ ขุนเดชมองอยู่ เขารู้สึกว่า ยงยุทธ มักจะทำให้ดาราหัวเราะได้เสมอ...

ขุนเดชพยุงยงยุทธไปส่งที่ห้องพัก โดยมีดารามาส่งด้วย ขุนเดชบอกว่า ถ้าอยากหายเร็วๆก็ให้เอายา

ที่หลวงลุงกับอาหมอให้จัดการตามที่หลวงลุงกับอาหมอสั่ง ยงยุทธตัดบทว่ารู้แล้ว ตนไม่ใช่เด็ก พูดคำเดียวก็รู้เรื่อง

“เด็กดื้อน่ะ ยังพอใช้ไม้เรียวกำราบให้ฟังได้ แต่ผู้ใหญ่ดื้อเนี่ย สงสัยต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม” ดาราแทรกขึ้น ขุนเดชเลยยุให้เธอมาดูแลยงยุทธก็แล้วกัน เพราะบ้านคำปันก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ยงยุทธห้ามเสียงหลง บอกว่าไม่อยากให้เธอเสียเวลา

ขุนเดชตัดบทว่าดาราเองยังไม่ปฏิเสธเลย แล้วหันไปถามว่า “ใช่ไหม ดารา”

ดาราถูกจู่โจมถามก็อึ้งไปก่อนจะตอบว่า

“ก็อย่างที่ขุนเดชเป็นห่วงเธอนั่นแหละ ถ้าฉันไม่ดูแลเธอ แล้วใครจะดูแล”

“ดารารับปากแบบนี้ผมก็สบายใจ งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อ ฝากไอ้หมวดจอมดื้อด้วยนะ” ขุนเดชพูดติดตลกหน้าตายแล้วถือโอกาสออกไป ทิ้งให้ยงยุทธอยู่กับดารา

“ไอ้ขุนเดชนี่มันชอบยุ่งเรื่องคนโน้นคนนี้ตลอด ว่าไหมดารา” ยงยุทธแก้เกี้ยวกลบเกลื่อนความรู้สึกดีๆที่จะได้อยู่ตามลำพังกับดารา เธอไม่ตอบแต่ยิ้มเศร้าๆ

ooooooo

คืนที่ปราชญ์เรียกก้องเกียรติมาปรึกษา เขาฟังก้องเกียรติอย่างสนใจ แล้วถามว่า ก้องเกียรติมีวิธีช่วยให้ตนได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือ ก้องเกียรติยืนยันว่า

“ครับท่าน หนทางที่จะทำให้ท่านได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุด เป็นทั้งผู้มีอำนาจและมากบารมีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทัดทานอีก เพราะท่านจะเป็นที่หนึ่ง”

“ยังไง...ผมต้องทำอะไรบ้าง” ปราชญ์ถาม แล้วหลังจากนั้น ประดับก็ได้รับโทรศัพท์ขณะอยู่บนเตียงอยู่กับผกาเรียกให้ไปรับงานด่วนจนประดับต้องลุกไปกลางคัน

กลางวันวันรุ่งขึ้น ที่ถนนลูกรังกลางทุ่งที่จังหวัดอยุธยา กำนันบุญกับลูกน้องจอดรถรอประดับอยู่ ครู่เดียวประดับก็ขับรถคันหรูเข้ามา พอประดับลงจากรถพร้อมลูกน้อง กำนันบุญก็ยื่นรูปถ่ายให้ บอกว่า

“ตามใบสั่งที่ท่านต้องการให้หา ฉันดูให้แล้วก็มีนี่แหละที่พอจะตรงกับความต้องการของท่านที่สุด”

“เป็นโล่ในปลายสมัยอยุธยา สภาพน่าจะผ่านการรบมาอย่างโชกโชน เพิ่งจะขุดพบไม่นานมานี่เอง เนื้อโลหะผสมหินแร่เหล็กเขียว จากจังหวัดอุตรดิตถ์”

ประดับบอกว่าท่านไม่ได้อยากได้รูปแต่อยากได้ของ กำนันบอกว่าพวกข้าราชการเป็นคนขุดเจอ ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ รอนำเข้าพิพิธภัณฑ์อยู่ๆจะไปหยิบเอามาก็คงไม่ได้”

ประดับนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิด จนกำนันอดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน ปรารภว่า

“ปกติท่านไม่เคยสะสมของพวกนี้ ทำไมคราวนี้ท่านถึงต้องการ?”

“ไม่ใช่เรื่องของกำนัน หน้าที่มีแค่ทำตามคำสั่งของท่านเท่านั้น” ประดับตัดบทปรามๆแล้วเดินกลับไปขึ้นรถพร้อมลูกน้อง ตะบึงรถกลับไปฝุ่นตลบ

กำนันก็ยังมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้

ooooooo

ปฏิบัติการเกิดทันที เมื่อรถจี๊ปคันหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่โบราณคดี 3 คน พร้อมลังบรรจุของสำคัญต้องเบรกจอดกะทันหันเมื่อเจอรถจอดเสียขวางถนนอยู่

เจ้าหน้าที่ลงไปถามว่า รถเสียทำไมไม่เข็นลงไหล่ทาง ขวางถนนแบบนี้คนอื่นจะไปได้อย่างไร

พริบตานั้นเอง ประดับเดินนำลูกน้องถือปืนเดินตรงมายิงใส่เจ้าหน้าที่คนนั้นทันที เจ้าหน้าที่อีกสองคนตกใจหันไปคว้าปืนก็ถูกยิงคว่ำไปอีก เจ้าหน้าที่คนสุดท้ายจะวิ่งหนีก็ถูกยิงดับไปอีกคน

จากนั้น ประดับนำลูกน้องขึ้นไปเปิดผ้าคลุมงัดลัง พบโล่เหล็กสีเขียวอยู่ในนั้น มันหยิบออกมาแล้วสั่งลูกน้อง

“จัดการทำลายหลักฐานให้เรียบร้อยด้วย”

ลูกน้องรับปากจัดแจงราดน้ำมันใส่แล้วจุดไฟเผาทั้งรถทั้งคน ประดับเอาลังขึ้นรถคันหรูขับออกไปส่วนลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์ตามไป ไม่ทันไรรถข้างหลังที่ถูกเผาก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหว

กำนันกับลูกน้องซุ่มดูอยู่ พอประดับไปแล้วและรถกับศพถูกไฟไหม้ระเบิดไปแล้ว ลูกน้องกำนันถามว่า

“แปลกนะครับพ่อกำนัน ถึงกับต้องลงมือเอง ทั้งๆที่งานแบบนี้ใช้พวกเราทำก็ได้”

“ท่านคิดจะทำอะไรของท่านกันแน่?” กำนันสงสัยมาก

ooooooo

หลังจากจ่าแท่นไปดูศพเถรแล้ว กลับมารายงานยงยุทธ เขาถามว่าแน่ใจหรือ จ่ายืนยันว่า

“ครับหมวด ตอนแรกผมก็นึกว่าจะถูกงูกัดตายธรรมดาก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพาพ่อแม่ไอ้เถรไปดูศพ ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตามตัวของไอ้เถรมีร่องรอยการต่อสู้ ถูกทำร้ายร่างกายด้วย”

“แล้วใช่สาเหตุของการตายรึเปล่า”

“ไม่ใช่ครับ...ผมให้หมอน้อยช่วยตรวจดูศพด้วย หมอน้อยยืนยันว่าตายเพราะพิษงู”

“งั้นอายัดศพไว้ ผมต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้งว่า ร่องรอยของการต่อสู้ที่นายเถรถูกทำร้าย...เกิดจากอาวุธอะไร” ยงยุทธสั่งการ สีหน้าครุ่นคิด...

ooooooo

บัวทองไปหาขุนเดชที่กระท่อมพร้อมฝักบัว ยืนรอจนขาแข็ง เมื่อขุนเดชมาก็เข้าไปหาอย่างดีใจอดต่อว่าไม่ได้ที่ให้ตนรอตั้งนาน

บัวทองเอาฝักบัวให้บอกว่าเอามาฝาก แต่ยืนรอนานเลยกินไปหลายฝักแล้ว ขุนเดชบอกบัวทองว่าอยากรู้อะไรถามตรงๆเลยดีกว่าไม่ต้องเอาฝักบัวมาติดสินบนกัน บัวทองอ้อนว่าถ้างั้นตนถามก็ต้องตอบให้หมดนะ

“อยากรู้อะไรล่ะ”

“ฉันได้ยินอาจารย์ประทีปคุยกับอาหมอเรื่องการตายของนายเถร สงสัยว่าอาจจะมีคนร้ายเล่นงานนายเถร”

ขุนเดชนิ่งไปก่อนพูดเชิงปรามๆว่า “นั่นมันเป็นเรื่องของตำรวจ บัวทองมาถามพี่คงไม่ได้เรื่องหรอก”

“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก ฉันสนใจเรื่องที่ได้ยินจากอาจารย์ประทีปมามากกว่า เป็นเรื่องจริงเหรอพี่ขุนเดช ที่มีฆาตกรคอยตามเล่นงานพวกคนร้ายที่ลักลอบขุดกรุ ทำลายโบราณสถาน ขโมยวัตถุโบราณ ตลอดทางทุกที่ที่คณะโบราณคดีของอาจารย์ประทีปเดินทางไปทำงาน”

ขุนเดชนิ่งไป บัวทองถามว่าเงียบทำไม ตกลงเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อย ตนอยากรู้ ขุนเดชได้แต่มองหน้าบัวทองนิ่งอยู่อย่างนั้น...

ooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น