วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

เห่อเหมือนกันนะSocial cam

http://socialcam.com/u/Bbo4QmVh


บมาราตรีสวัสดิ์วิ้งๆ
By Deer Kimshaein
126 likes
Fweifprt-150.0x200.0-8.5_popular
Fun. - We Are Young Live (at iHeartRadio)
Hqdefault
What NOT to say to Girls pt.1
Hqdefault

หน้าเหมือนแมวจิระศักดิ์







วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องย่อ บ่วง ตอน6 ละคร ช่อง3




เรื่องย่อบ่วงตอน 1 ละครช่อง 3

เรื่องย่อ บ่วง ตอน6  ละคร ช่อง

ตอนที่ 6

กลับจากทำงานถึงบ้านในตอนค่ำ ศามนรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก เพราะลูกเมียไปเที่ยวหัวหิน เหลือเพียงตัวเองคนเดียว มองไปมุมไหนก็มีแต่ความเงียบ ปราศจากเสียงหัวเราะหรือการกระเซ้าเหย้าแหย่ของลูกแฝดชายหญิง

ขณะที่ศามนหงอยเหงาอยู่กับบ้าน ภรรยาของเขากำลังเล่นกีตาร์อยู่ชายหาดให้ลูกๆและพวกอนุกูลฟัง ทุกคนล้อมวงฟังอย่างมีความสุข โดยเฉพาะอนุกูลที่มองรัมภาไม่วางตา ชื่นชมความงามความเท่ของเธอ

ไลล่ากับรัสตี้ชมแม่ตัวเองเล่นกีตาร์เก่ง และให้ข้อมูลอย่างอวดๆว่า คุณแม่หัดเล่นตั้งแต่เด็ก อนุกูลจึงว่าเล่นเก่งขนาดนี้ต้องมาสอนตนหน่อยแล้ว ผู้หญิงเล่นกีตาร์ตนว่ามันเท่มาก

รัมภาสบตาอนุกูลขอบคุณ ทั้งสองมองกัน ฝ่ายหญิงไม่ได้คิดอะไรเล่นกีตาร์ต่อไปเรื่อย แต่แววตาฝ่ายชายชื่นชมจริงจัง จนวรรณศิกามองเขาแปลกๆ สงสัยว่ามองเมียชาวบ้านทำไม แต่พัชนีไม่สนใจอะไร ฟังเพลงเคลิ้มไปอย่างมีความสุข

ในคืนเดียวกันที่บ้านสาวเซ็กซี่นามเดือนแรม

เธอนอนจับไข้อยู่บนเตียง ทองดีหรือดีดี้เยี่ยมหน้าเข้ามาดู ถามคุณนายเป็นยังไงบ้าง...พูดขาดคำสิ่งของข้างตัวเดือนแรมลอยหวือเข้าใส่ แต่ดีดี้ว่องไวหลบวูบเลยไม่โดน

“ไม่ต้องมาพูด เอ็งน่ะหนีไปก่อนเลยนะ” เดือนแรมแว้ดขึ้น

“โธ่...ก็ดีดี้ตกใจนี่คะ”

“แล้วยายทวดตัวแสบเป็นยังไงบ้าง”

“ดูๆก็ไม่เป็นไรนะ อีแบบนี้อาจจะหลับยาวถึงเช้า จะให้หมอมาดูไหมล่ะ”

“เรื่องอะไร...หน็อย คิดจะฆ่าหลานแท้ๆ ไม่เอา

ยาเบื่อให้กินก็ดีแล้ว ปล่อยไว้อย่างนั้นล่ะ อยากตายก็ตายไปเลย”

“ตอนดีดี้วิ่งเข้ามาเห็นคุณนายสลบอยู่ทาง ยายทวดสลบอยู่ทาง ดีดี้เลยไปตามพวกข้างบ้านมาพาคุณนายกับทวดเข้าไปในห้อง ยายเพ็ญน่ะท่าทางแปลกไปจริงๆนะ เหมือนไม่ใช่ยายทวดเพ็ญ”

เดือนแรมนิ่งไป นึกย้อนตอนเห็นภาพทวดเพ็ญหน้าเละเป็นผี ให้เข้าใจว่าแกคงโดนผีเข้าแน่แล้ว ร้องลั่นว่าน่ากลัวจริงๆ

“แล้วคืนนี้เอาไงต่อ จะไปให้ท่าคุณศามนหรือไม่” ดีดี้ถามขึ้นมา เลยโดนนายสาวตวาดด่าขี้หูแทบร่วง

“อีบ้า!! ใครจะมีอารมณ์ ไปเอายาแก้ไข้มาซิ

ปวดหัว ตัวก็รุมๆเหมือนจะเป็นไข้”

“จ้ะ” ดีดี้รับคำเบาๆ ผละออกไป แต่ไม่วายหันกลับมามองนายสาวอีกที “จับไข้หัวโกร๋นเลยนายกู” บ่นคนเดียวแล้วจากไป โดยไม่เห็นผีอีแพงโผล่มายืนแค้นอยู่หน้าประตู

“อีอบเชย หน็อย...คืนนี้พลาดไปเพราะแกแท้ๆ” มันคำรามแล้วล่องหนไปยังเรือนเล็ก เป็นเวลาที่ศามนนอนหลับไปแล้ว ผีแพงมุดเข้ามาในผ้าห่มนอนข้างศามนหรือคุณหลวงที่มันรักนักรักหนา มันลูบไล้แผ่นอกเขาด้วยความสิเน่หา

“อีเดือนแรมมาคืนนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร ตัณหา

ราคะเหมือนเชื้อไฟ มันรอเวลาจุดติดอยู่ทุกเวลา” อีแพงรำพันแล้วจูบที่แก้มศามน “คุณหลวงเจ้าขา นอนโดด–

เดี่ยวเดียวดายมาเป็นเดือนแล้ว เมียคุณหลวงมันใจจืดใจดำ เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน อ้อมกอดอุ่นของอีแพงกับอีเดือนแรมยังอยู่ตรงนี้ เราสองคนจะปรนเปรอให้คุณหลวงเอง”

พริบตานั้น ศามนมีอาการกระสับกระส่าย ฝันถึงห้วงเวลาที่นอนกับเดือนแรมและแพง เหงื่อกาฬเขาแตกพลั่ก กระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น มือไม้อยู่ไม่สุข...แพงเฝ้ามองอาการเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

ooooooo

ที่ชายหาดหัวหิน รัมภาสอนอนุกูลเล่นกีตาร์ โดยมีลูกแฝดของเธอและพัชนีกับวรรณศิกาเดินเล่นเก็บเปลือกหอยห่างออกไป อนุกูลเล่นเพลงคลาสสิก ทำให้รัมภานึกถึงความสวยงามที่เธอชอบ ส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ ถ้านึกถึงอย่างนี้ได้ ก็จะเล่นเพลงนี้ได้ดี

เมื่อเธอว่ามาอย่างนั้น เลยเข้าทางหนุ่มเจ้าชู้เข้าอย่างจัง “อืม...งั้นผมต้องนึกถึงผู้หญิงสวย ซึ่งก็อยู่ตรงหน้าผมแล้ว”

รัมภาหัวเราะเบาๆ ไม่ถือสา เปรยขึ้นว่า “คุณนี่ สมเป็นเพลย์บอยจริงๆ”

ระหว่างที่อนุกูลมองหน้ารัมภาอยู่นั้น ในหัวเขากลับมีภาพของพัชนีแทรกเข้ามา ความงามที่อนุกูลประทับใจลึกๆคือความน่ารักของพัชนี หลายอิริยาบถที่เขาเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นตอนเธอนั่งทำงาน เคร่งเครียดหรือหัวเราะสดใส และในยามที่เธอนอนหลับเฝ้าไข้เขาที่โรงพยาบาล

อนุกูลนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วสะดุ้งเเมื่อได้สติว่า

ตัวเองกำลังคิดอะไร เขาร้องเฮ้ยออกมาจนรัมภาแปลกใจ เธอได้ยินเขาพึมพำว่ายายนี่ พร้อมๆกับมองไปยังพัชนีเหมือนจะเอาเรื่อง

“คุณพัชเหรอ” รัมภาเอ่ย “เขาเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งจริงๆ เมื่อเทียบกับผู้หญิงสมัยนี้ที่แข่งกันทำท่ามั่นใจ แข่งกันตกแต่งตัวเองด้วยเครื่องสำอาง คุณพัชคือความสวยงามแบบธรรมชาติ ใสซื่อและจริงใจ”

“อย่า...อย่าพูดอย่างนั้นได้โปรด คนเท่ๆ ชิคๆอย่างผม ไปกันไม่ได้กับวัตถุโบราณล้าสมัย จืดสนิท...ฮึ่ย ไม่ได้แล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

อนุกูลลุกพรวดไปกวักมือเรียกพัชนีให้ออกจากกลุ่มเด็กแฝดและวรรณศิกา พัชนีเห็นสีหน้าเขาบึ้งตึง นึกสงสัยว่าเขาโมโหอะไรมา อนุกูลเห็นแม่ชีพัชยังยืนเด๋อ จึงขึ้นเสียงเล็กน้อย เธอถึงยอมเดินมาหา

ชายหนุ่มเดินนำเธอไปมุมหนึ่ง อนุกูลจ้องหน้าเธออย่างแค้นไม่หาย ถามเธอว่าเล่นของใส่ตนหรือเปล่า พัชนีตกใจจนใบ้กิน ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไปอีก

“ฉันเคยเห็นในละคร มันมีน้ำมันพราย มีแบบเอาหุ่นมาผูกกันอะไรแบบนั้น...อย่าให้รู้นะว่ามาทำใส่ฉัน ไม่งั้นฉันเอาเธอตายแน่ จะเอาให้ตายคามือเลยทีเดียว” อนุกูลรัวเป็นชุด และทำมือไม้เหมือนจะบีบคอเธอ นั่น

ยิ่งทำให้แม่ชีพัชงงเป็นไก่ตาแตก พึมพำไล่หลังเขาไปว่า “อะไรของเขา!”

ooooooo

วันนี้ เพ็ญนอนหลับไปอีกครั้งหลังอาหารมื้อเช้า ทองดีหรือดีดี้จัดแจงเก็บสำรับอาหารออกมาหาเดือน-แรมที่รออยู่หน้าห้อง

“เป็นไงบ้าง” นั่นคือคำถามแรกจากเดือนแรม ดีดี้รายงานทันทีว่า ตื่นขึ้นมาตรวจทองในหีบ กินข้าว แล้วก็นอน เหมือนคนเดิม สงสัยผีออกแล้ว เดือนแรมโล่งใจ บอกว่าค่อยยังชั่ว

“แล้วคุณจะเอาไงต่อคะ พรุ่งนี้คุณรัมภาก็จะกลับจากทะเลแล้ว ไม่เผด็จศึกคุณศามนคืนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ”

ฟังดีดี้แล้ว...เดือนแรมหน้าเคร่งคิดหนัก ในขณะเดียวกันที่บ้านพักริมทะเล คณะของรัมภากำลังทานอาหารเช้า รัสตี้กับไลล่าแยกไปทานหน้าทีวีเพราะมีการ์ตูนที่ชอบ ทั้งคู่จึงไม่ได้ยินการสนทนาของผู้ใหญ่

อนุกูลนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งใน

หัวหิน ก่อนถามรัมภาว่าอยากไปที่ไหน รัมภาไม่ตอบแต่กลับมองหาพัชนี ถามว่าเธอไปไหน?

“อย่าไปสนใจเลย เขาไปวัดตั้งแต่เช้า วัดเมื่อวานนั่นแหละ มีงานอะไรไม่รู้ช่วงนี้ มีแต่คนดีๆเขาไปกัน คนเลวๆเดินเฉียดไม่ได้ เขาบอกลุงอะไรไม่รู้มา” อนุกูลสีหน้าท่าทีเบื่อหน่าย 
“ลุงช่วง...ลุงที่เลี้ยงยัยพัชมา วัดเขาเปิดศูนย์วิปัสสนา ลุงเขามาช่วยตั้งแต่เมื่อคืน ยัยพัชเลยออกไปตั้งแต่เช้า” วรรณศิกาอธิบายชัด ทำให้อนุกูลนึกออกถามขึ้นว่า ลุงช่วงคนที่เป็นหมอผีใช่ไหม “เขาไม่ได้เป็นหมอผี เขาก็แค่มีความสามารถพิเศษ รู้เห็นบางอย่างเท่านั้นเอง คราวที่แล้วนั่นเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย”

“คราวที่แล้วทำไมคะ” รัมภาซักด้วยความสงสัย... วรรณศิกาตอบทันทีว่า เรื่องบ้านคุณ อนุกูลจ้องหน้าปรามด้วยการทำท่ารูดซิปปาก ทำให้สาวปากไวหัวเราะแหะๆ ก่อนอ้อมแอ้มว่า คุณนุไม่ให้พูด

“แต่ฉันอยากรู้นี่คะ” รัมภาสีหน้าขอร้อง แต่อนุกูลส่ายหน้าไปมาปรามพี่วรรณ
นึกว่าจะสำเร็จ...ที่ไหนได้ วรรณศิกากลับพ่นพรวดออกมาอย่างอดใจไม่ไหวจริงๆ

“จำที่ยัยพัชถ่ายรูปบ้านคุณได้ไหมคะ ยัยพัชเขาเอากลับบ้าน ลุงช่วงมาเห็นเข้า เขารีบเข้าไปนั่งสมาธิใหญ่ เขาบอกว่าบ้านคุณมีวิญญาณร้าย แต่พวกเราเห็นว่าไม่เหมาะที่จะบอกคุณกับคุณมน...อุ๊ย หลุดปาก ขัดคำสั่ง ต๊าย...ไม่เคยขัดคำสั่งเลยนะเนี่ย” เธอทำตลกกลบเกลื่อน แล้วปะเหลาะว่า “เอาน่า เชื่อหรือไม่เชื่อ คนฉลาด

อย่างคุณรัมภาเขาจัดการได้ ก็แค่รู้เอาไว้”

“ฉันอยากเจอคุณลุงคนนี้” รัมภาตัดสินใจแน่แน่ว แล้วจัดแจงฝากลูกแฝดให้อยู่กับอนุกูล ส่วนวรรณศิกาทำหน้าที่โทร.ถามเส้นทางไปวัดจากพัชนีมาให้

เมื่อเดินทางไปถึงวัด รัมภามีโอกาสคุยกับลุงช่วงโดยที่พัชนีก็อยู่ด้วย ลุงช่วงพอจะรู้ข้อมูลของรัมภาบ้างแล้วจากหลานสาว แกแนะนำตัวว่า

“ผมเป็นคนธรรมดาไม่ใช่หมอผี ไม่ใช่เจ้าเข้าทรง ถ้าจะถามอะไรต้องแน่ใจก่อนนะว่าตัวเองต้องการอะไร”

“ดิฉันเจอวิญญาณร้ายและวิญญาณดีที่คุณลุงบอกแล้ว”

“เจอเลยหรือ?”

“วิญญาณดี...นั่นคือคุณทวดเห็นในฝัน วิญญาณร้ายเห็นด้วยตา ด้วยหู ด้วยสัมผัสมากมายจนแทบ

จะเป็นบ้า” สีหน้ารัมภามีแต่ความทุกข์ทนจนลุงช่วงสังเกตได้

“เฮ้อ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อย่างที่บอก ผมไม่ใช่หมอผี ผมปราบผีให้ไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ เราทุกคนมีเวรกรรมติดตัว ใครทำอะไรได้อย่างนั้น นี่คือกฎที่ยุติธรรมที่สุดของธรรมชาติ การให้อภัย อย่าจองเวรต่อกัน เป็นทางตัดกรรมที่ดีที่สุด”

ลุงช่วงสรุปชัดเจนแล้วเดินจากไป รัมภาว้าวุ่นกระวนกระวาย พัชนีมองออกบอกเธอว่า ลุงจะไปนั่งสมาธิ ท่านคงช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นคงช่วยไปแล้ว แต่รัมภาไม่ยอมรามือง่ายๆ เดินตามลุงช่วงไปหยุดใต้ต้นไม้ร่มรื่นที่แกกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ

รัมภาส่งเสียงเรียกลุงช่วงเพื่อขอความช่วยเหลือ พัชนีที่ตามมาเตือนเธอให้เบาหน่อย ตรงนี้เป็นที่ปฏิบัติ

ธรรม รัมภาจึงเบาเสียงลง แต่หน้าตาเธอว้าวุ่นเว้าวอนอย่างที่สุด

“ดิฉันกราบขอโทษคุณลุงด้วย คุณลุงกำลังทำบุญด้วยการนั่งสมาธิ แต่หากมีลูกนกลูกกาที่ไม่มีทางออกใดๆ กำลังจะเป็นบ้า กำลังจะทำร้ายลูกตัวเองและคนอื่น คุณลุงจะกรุณาทำบุญด้วยการช่วยเหลือคนคนนั้นก่อนจะได้ไหมคะ ที่ท่านพูด...ให้อภัย ทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ แต่ถ้าดิฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จู่ๆมาทำร้ายดิฉันและครอบครัวทำไม ดิฉันจะให้อภัยเขาได้ยังไงคะ ถ้าไม่รู้ต้นตอสาเหตุ เราจะเริ่มต้นแก้ปัญหาได้ยังไง”

ลุงช่วงยังหลับตานิ่งเงียบ พัชนีเห็นไม่ได้ผล ย้ำเตือนรัมภาว่าลุงคงช่วยไม่ได้จริงๆ เราออกไปข้างนอกก่อนเถอะ รัมภาจนใจลุกขึ้นหน้าเศร้าจะเดินตามพัชนีออกไป แต่นาทีนั้นลุงช่วงเอ่ยปากทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“คุณมีความเชื่อในเรื่องชาติภพแค่ไหน”

“ชาติภพ?” รัมภาทวนคำแผ่วเบา

“ถ้าไม่เชื่อ อย่าฟังเลย ไม่มีใครอยากเป็นบ้าในสายตาคนอื่นหรอกนะ”

“เรื่องเป็นบ้า ดิฉันอยู่ใกล้เป็นบ้ามากกว่าคุณลุงค่ะ เพราะฉะนั้นฉันอยากฟัง”

ในที่สุด ลุงช่วงก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตให้รัมภากับพัชนีฟัง โดยเริ่มต้นเหตุการณ์ที่คฤหาสน์ของอบเชย เธอมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อชื่นกลิ่น ซึ่งรัมภาจำได้ว่าชื่นกลิ่นคือคุณยายของศามน

“คุณชื่นกลิ่นมีคนใช้ติดตัวคนหนึ่งเป็นลูกแม่ครัว ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าแพง แพงเป็นหญิงคนสนิทดูแลคุณชื่นกลิ่นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งสามคนคือคู่เวรคู่กรรมมายาวนาน นางแพงหลงรักหลวงภักดีบทมาลย์มาก่อน ต่อมานางแพงเกิดริษยานายสาวของตน มุ่งมั่นจะแย่งคุณหลวงมาจากคุณชื่นกลิ่น คุณอบเชยจึงออกโรงปกป้องลูกสาวสุดที่รัก ด้วยการก่อเวรก่อกรรมกับนางแพง”

อบเชยขัดขวางและทำร้ายแพงอย่างไม่ปรานี สร้างความเจ็บปวดและความแค้นให้แพงอย่างที่สุด ลุงช่วงเล่ารายละเอียดมาถึงตรงนี้แล้วถามรัมภาว่าจำอะไรได้บ้างไหม

“จำ? ทำไมต้องจำคะ”

“คุณคือคุณชื่นกลิ่นกลับชาติมาเกิด”

รัมภากับพัชนีตกใจมาก ลุงช่วงถามรัมภา

ทันทีว่า ฟังต่อได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็เชิญกลับไปได้เลย รัมภาท่าทีกลัวเหมือนกัน แต่ตัดสินใจให้แกเล่าต่อไป

“วิญญาณร้ายหนึ่งตน วิญญาณดีอีกหนึ่งตน รู้ไหมว่าเขาคือใคร”

คำถามของลุงช่วงทำให้รัมภาย้อนคิดถึงตอนที่ตนเคยฝัน...ในฝันชื่นกลิ่นชื่นชมเพลงกล่อมลูกของอบเชย เธอว่าได้ฟังทีไรรู้สึกสุขใจจนบอกไม่ถูก...

“ทวดอบเชยเป็นแม่ของชื่นกลิ่นเมื่อชาติที่แล้ว ฉันเคยหลุดปากเรียกท่านว่าแม่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไม เพราะเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกว่าคุณทวดอบเชยคอยปกป้องฉัน” รัมภาลำดับเรื่องได้เอง ส่วนลุงช่วงเสริมต่อไปว่า

วิญญาณคุณทวดอบเชยคือวิญญาณดีที่อยู่ในเรือนหลังใหญ่ และมีอำนาจอยู่ในบริเวณเรือนหลังใหญ่นั้น คุณหลวงภักดีบทมาลย์มาเกิดเป็นสามีของรัมภาอีกครั้งในชาตินี้ เขาคือศามนนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นวิญญาณร้ายที่อยู่ในบ้านคือนางแพงที่เป็นคนสนิทของคุณชื่นกลิ่นหรือคะ”

“นางผีแพงยังไม่คลายรักจากคุณหลวง ยังไม่คลายอาฆาตที่มีต่อคุณ นางผีแพงมุ่งทำร้ายที่ชีวิตครอบครัว ของคุณ”

จริงอย่างที่ลุงช่วงพูดมา รัมภาเคยได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า ให้ระวังลูกแฝดของเอ็งไว้ให้ดี ข้าจะมาเอาชีวิตลูกแฝดของเอ็ง แล้วยังเห็นตัวหนังสือขู่ฆ่าในห้องน้ำ และ ล่าสุดก็โดนผีหลอกอย่างหนักจนรัสตี้เกือบถูกรถชน

“แบบนี้นี่เอง แล้วเขาแย่งสำเร็จไหมคะ ที่ดิฉันเห็น ที่รู้สึก เหมือนมีเรื่องราวมากกว่านี้ วิญญาณร้ายมีแต่ความเจ็บปวดเหมือนกับถูกทรมาน คุณลุงกรุณาเล่าต่อได้ไหมคะ”

“เรื่องที่จะเล่าต่อไปเหมือนนิทานเรื่องยาว เหมือนเรื่องความรักความโกรธแค้นที่เห็นอยู่ทั่วไปในโลก ถ้าอยากฟังจริงๆ ก็จะเล่าให้ฟัง”


ย้อนกลับไปสู่อดีต...เช้าวันนี้ที่เรือนใหญ่ คุณหลวง ชื่นกลิ่น บัวสวรรค์ ทานอาหารพร้อมกัน โดยแพงคอย ปรนนิบัติ ทำท่าใส่ใจแต่ชื่นกลิ่น พยายามไม่สนใจคุณหลวง ให้ใครสังเกตได้ แพงแอบคิดด้วยความแค้นคุณหญิงอบเชยที่ออกคำสั่งไม่ให้มันยุ่งกับคุณหลวง แต่แพงไม่รับรองถ้าคุณหลวงมายุ่งกับมันเอง อยากรู้นักคุณหญิงจะทำยังไง?

คิดดังนั้นแล้ว รุ่งขึ้นแพงออกจากเรือนมุ่งหน้าไปโรงโสเภณี เข้ามาพินอบพิเทาแม่เล้าเพื่อขอให้แกสอนวิชาหาผัว แม่เล้าได้ฟังถึงสะดุ้งลุกพรวด แปลกใจผู้หญิงอะไรหน้าไม่อาย รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา

“ผู้หญิงอย่างข้านี่แหละ บ่าวกำพร้า อดมื้อกินมื้อ ไร้ทรัพย์ ไร้เกียรติ ไม่รู้หนังสือ หากแม้ตายไปวันนี้ ก็คงเหมือนหมาตายตัวหนึ่ง ไม่มีใครสนใจทั้งนั้น” แพงน้ำตา คลอ จนแม่เล้าตกใจเสียงอ่อนลง ถามว่าเอ็งจะเรียนวิชา หาผัวไปทำไม

“หากจะเป็นผู้ชนะ ฉันเหลืออาวุธเพียงอย่างเดียวคือร่างกายและความเป็นหญิงของฉัน สอนฉัน แล้วฉันจะทำงาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักเสื้อผ้าให้พี่โดยไม่คิดเงิน”

แพงทำให้แม่เล้าใจอ่อนจนได้ สอนวิชาให้ครบกระบวนการ โดยเริ่มจากพาไปอาบน้ำขัดถูเนื้อตัวด้วยเครื่องประทินโฉมนานา ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นดีสำหรับผิวพรรณ เธอสั่งแพงขัดถูให้สะอาดทุกซอกทุกมุม เพราะผิวนุ่มนวลของหญิงคือไม้พลอง ปลายผมและกายหอมคือคมดาบ กิริยาชะม้อยชม้ายคือคมมีด

“แล้วสูงสุดแห่งความเป็นหญิงล่ะ”

“สูงสุดแห่งวิถีหญิง คือวิชาปรนเปรอชายบนเตียง มันคือปืนใหญ่ คือระเบิดพลุตะไล แม้กำแพงแข็งยังพังทลาย แล้วชายใดเล่าจะทนไหว”

แพงยิ้มกริ่ม มั่นใจว่ามาหาถูกคนแล้ว ตนต้องได้วิชาติดตัวคราวนี้เป็นแน่แท้...เมื่อเสร็จสิ้นสมใจ แพงกลับไปจัดแจงเปลี่ยนตัวเองใหม่หมด แต่งตัวเซ็กซี่ด้วยกางเกงขาสั้น ทรงผมใหม่ หน้าตาแต่งแต้มสีสันชวนมอง ทั้งกิริยาก็อ่อนช้อยยั่วยวนกว่าเดิม

พึ่งกับนวลเห็นแพงในมาดใหม่ถึงกับตะลึงลาน แต่พอหายตะลึง พึ่งจิกด่าลูกสาว ขณะที่นวลบอกว่า ถ้าคุณหญิงอบเชยกับแม่เพ็ญของตนอยู่ เห็นแพงแต่งตัวและจริตจะก้านแบบนี้ มีหวังได้หลังลายอีกรอบ

แพงไม่สนคำใครทั้งนั้น ตกบ่ายมันแอบไปเฉิดฉายให้คุณหลวงได้เห็นความงาม ซึ่งก็ได้ผล คุณหลวงขับรถเข้าบ้านเหลือบเห็นแพงแถวพุ่มไม้ เขามองสาวงามตาแทบกลับ จำไม่ได้ว่าใคร กระทั่งทำให้รถตัวเองเป๋ไม่ตรงทาง เสยเอากระถางต้นไม้ทั้งที่บ่าวตะโกนให้ระวังแล้วเชียว

สมใจไปแล้วขั้นหนึ่ง วันต่อมาแพงมุ่งหน้าไปคอกม้า นายกล้าเห็นความเปลี่ยนแปลงของแพงให้แปลกใจ แต่ไม่ชมหรือพูดอะไร นอกจากตอบคำถามแพงว่าม้าตัวนี้เป็นของคุณหลวง ท่านจะพามันไปออกกำลังในสวนริมน้ำ

แพงสบโอกาสแอบไปดักรอคุณหลวงแถวลำธาร ไม่ช้าไม่นานคุณหลวงขี่ม้ามาถึงแล้วผูกมันไว้กับต้นไม้ ไม่ทันจะทำอะไรต่อ เขาได้ยินเสียงคนเดิน หันขวับไปดูก็พบแพงในชุดเน้นสัดส่วนนวยนาดมาหา ก่อนพูดจามอบกายถวายตัวบำเรอเขาอย่างไม่มียางอาย และเข้ากอดรัดยั่วยวนเต็มที่ คุณหลวงตกใจจะผละหนีแต่แพงไม่ปล่อยมือ แถมยังเชิญชวนด้วยสายตา ปลดเสื้อผ้าตัวเองออกหมด แล้วพาเขาลงน้ำไปด้วยกัน

แพงระดมจูบคุณหลวงอย่างรักใคร่โหยหา คุณหลวงปัดป้องด้วยท่าทีตกใจ แพงยิ่งรุกหนัก แต่ไม่สำเร็จเพราะคุณหลวงนึกถึงดวงหน้าของเมียแล้วทำไม่ลง เขาผลักแพงออกห่าง บอกว่าทำไม่ได้ ข้าทำให้แม่ชื่นเสียใจไม่ได้ แพงผงะแทบกรี๊ด คุณหลวงรีบหนีขึ้นจากน้ำแล้วควบม้าจากมาโดยไม่สนเสียงตะโกนของแพง

เช้าอีกวัน แพงมาปรนนิบัติชื่นกลิ่นเหมือนเคย หน้าตาแพงเศร้าหมองเสียใจที่เมื่อวานโดนคุณหลวง ปฏิเสธ ช่วงหนึ่งแพงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทำให้ชื่นกลิ่นสงสัยถามแพงว่าเป็นอะไร

“แค่ไม่สบายน่ะเจ้าค่ะ” ตอบเสร็จแพงน้ำตาร่วงลงมาอีกด้วยความน้อยใจที่มีต่อคุณหลวง ส่วนคุณหลวงนั่ง คอแข็งเพราะรู้ดีว่าแพงเป็นอะไร พอบัวสวรรค์เหลือบมองมา เขารีบก้มหน้าทานข้าว พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

ooooooo

ทันทีที่คุณหญิงอบเชยกับนางเพ็ญบ่าวคู่ใจพากันกลับจากบ้านสวน ชื่นกลิ่นวิ่งออกมากอดมารดาด้วยความคิดถึง บ่นคุณแม่กลับช้าตั้งเกือบสัปดาห์ ลูกจะ ตายเสียให้ได้ ถ้าไม่โทรเลขไปก็คงยังไม่กลับ คุณหญิงกอดตอบลูกสาวสุดรักด้วยความเอ็นดู และว่าคุณยายไม่สบาย แม่กับนางเพ็ญวุ่นวาย ทั้งหาหมอ ทั้งเรือกสวนไร่นา อีกสามวันก็ต้องลงไปใหม่

ขณะพูดกับลูกสาว คุณหญิงมองไปเห็นแพงในมาดใหม่ สะดุดตาจนร้องเอ๊ะ ทำให้ชื่นกลิ่นสงสัย แต่แม่บอกไม่มีอะไร ลูกจึงชวนแม่เข้าไปคุยข้างใน อยากรู้เรื่องคุณยายป่วย

คุณหญิงนำผลไม้จากสวนมามากมาย พึ่งกับแพงช่วยกันขนมาโรงครัว แต่แพงเกี่ยงแม่ว่าตนไม่ช่วยดองมะม่วงเดี๋ยวมือเหลือง พึ่งหมั่นไส้ด่าเป็นชุดว่าแพงดัดจริต หมู่นี้เป็นอะไร บ้าแต่งตัวอยู่ได้ ทำงานสะดวกที่ไหน แต่งไปเดี๋ยวก็สกปรก เราน่ะมันคนใช้เขานะ

“แม่ต่างหากคนใช้ ฉันน่ะลูกท่านเจ้าคุณ แล้วอีกหน่อย...” แพงยั้งปากไว้ไม่พูด ก็พอดีคุณหญิงเยื้องย่างมาพร้อมเพ็ญ คุณหญิงเร่งให้แพงพูดต่อ แต่แพงไม่ตอบ สีหน้าท่าทีตกใจไปกันทั้งแม่ทั้งลูก

“บอกเขาไปสิว่าตอนนี้ลูกเจ้าคุณ อีกหน่อยก็จะเป็นเมียน้อยคุณหลวง” เพ็ญเอ่ยขึ้นด้วยความชิงชังอีแพง

“แพงแค่ล้อเล่นเจ้าค่ะ ไม่ได้จะพูดแบบนั้นนะเจ้าคะ” แพงละล่ำละลัก

“กลับมาคราวนี้เอ็งดูเปลี่ยนไปนะ...แม่เพ็ญ เอ็งว่าอีแพงมันดูสวยขึ้นไหม”

“สวย...สวยเหมือนพวกช็อกกาหรี่ที่ซ่องแถวสำเพ็ง”

แพงสะดุ้งด้วยความแค้น แต่จำต้องก้มหน้ายอมทุกอย่าง คุณหญิงรู้ทันว่าแพงลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่งหน้าแบบนี้ด้วยเหตุผลใด แต่แพงไม่ยอมรับ และว่าถ้าคุณหญิงไม่อยากให้แต่ง ตนไม่แต่งก็ได้

“เอ...แต่สำหรับวันนี้ ที่แต่งมาแล้วจะทำยังไงดีนะ” พูดขาดคำ คุณหญิงหันไปคว้าไหปลาร้ามาเทใส่เสื้อแพงจนเลอะทั้งตัว แพงตกใจลุกขึ้นสะบัด ส่วนพึ่งร้องเอะอะเพราะคาดไม่ถึง

“ปลาร้าหลังตลาดบ้านเรานี่มันเหม็นสะใจข้าจริงๆ”

เท่านั้นยังไม่พอ คุณหญิงคว้ากรรไกรมาถืออย่างน่ากลัว ไม่ฟังเสียงขอร้องวิงวอนของพึ่งที่ไม่ให้ทำอะไรลูกของตน ส่วนเพ็ญช่วยนายจับอีแพงไว้มั่น จากนั้นคุณหญิงตัดผมของแพงจนแหว่งไปทั้งหัว อยากรู้ว่ามันยังจะสวยอยู่ได้อีกไหม

แพงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทรุดลงร้องไห้โฮอยู่ กับพื้น พึ่งมองลูกอย่างเวทนาสงสาร น้ำตาร่วงอย่างสุดจะกลั้น

“ฮึ...คราวนี้ต่อให้แกลุกขึ้นมาแต่งยังไง ก็อย่าหวังว่าจะสวยได้อีก แม่เพ็ญลากมันออกไปหน้าบ้าน”

เพ็ญทำตามคำสั่งคุณหญิงทันที ลากข้อมือแพงออกไปทิ้งไว้ตรงเฉลียงหน้าบ้าน เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้เห็นความน่าเกลียดน่าชังของมัน

“ทิ้งมันไว้ตรงนี้ เอ็งจะต้องนั่งตรงนี้ห้ามไปไหน จนกว่าจะถึงเที่ยงคืน” คุณหญิงประกาศิต

ไม่ทันไร นวลและคนใช้ทั้งชายหญิงต่างวิ่งออกมา ทั้งดูทั้งวิพากษ์วิจารณ์ แพงอับอายทุกคนมากเพราะตัวเหม็นปลาร้า ผมเผ้าแหว่งเหมือนหนูแทะ

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องย่อ ขุนเดช ตอน5 ละครช่อง7



ก่อนหน้าที่เปรื่องจะออกมาที่ตลาด ได้ไปที่บ้านกำนันก่อน ได้รับฟังกำนันบอกถึงสิ่งที่ต้องการแล้ว เปรื่องทวนคำสั่งกำนันว่า

“พระพุทธรูปฟ้าผ่า?” กำนันถามว่าเคยได้ยินไหม “ก็เคยอยู่จ้ะพี่กำนัน พระพุทธรูปทองแดงเนื้อพิเศษ ใครได้ไปบูชาแม้แต่ฟ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เขาว่ายังไม่เคยมีใครเห็นองค์จริงๆเลย”

“ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงของเอ็งจริงๆ เอ็งก็กลับไปขุดกรุอยู่อยุธยาแล้วกัน” กำนันปรามาส

“โธ่ๆๆ พี่กำนัน คนอย่างไอ้เปรื่องสุโขทัยทั้งที มีเรอะจะปฏิเสธคำสั่งของพี่กำนัน แต่ว่า...” เปรื่องทำตาเจ้าเล่ห์ กำนันรู้ทันบอกว่าเรื่องค่าจ้างไม่ต้องห่วง พลางพยักหน้าให้สัมฤทธิ์เอาเงินให้เปรื่อง

“ค่าจ้างล่วงหน้าฉันให้ไปก่อน ได้ของเอ็งเมื่อไหร่ ตรงกับที่ข้าต้องการ ข้าก็จะเพิ่มให้อีก”

เปรื่องรับเงินไปกรีด คะเนจำนวนแล้วหัวเราะเสียงแปร่งแหลมอย่างพอใจ

ออกจากบ้านกำนัน เปรื่องมากว้านซื้ออาหารที่ร้านอาฮวด ได้ยินอาฮวดทักว่าไม่เคยเห็นหน้า เปรื่องก็คุยโวว่า

“ฉันเป็นนักท่องเที่ยวจ้ะ ศรัทธาพระร่วงเจ้า เลยชอบสุโขทัยมากเป็นพิเศษ ก็เลยตั้งใจมาตระเวนไหว้พระ กราบโบราณสถานให้เป็นบุญกับชีวิตจ้ะ”

“เหรอ...แต่หน้าตาลื้อไม่ให้เลยนะ” อาฮวดพูดตรงเสียจนสาลี่ต้องแอบหยิก เรียกปรามเบาๆแล้วหันไปฉีกยิ้มพูดเสียงอ่อนโยนกับเปรื่องว่า

“มิน่าถึงได้ตุนเสบียงเต็มไปหมด เชิญจ้ะที่นี่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะพ่อ แถวนี้มีฆาตกรที่ตำรวจยังตามจับไม่ได้ เดินเพ่นพ่านอยู่ในศรีสัชฯ”

“อ๋อ...เรื่องวีรบุรุษบาปน่ะเหรอ” เปรื่องพูดแล้วหันไปเห็นขุนเดชเดินเข้ามามองอย่างสงสัย ก็รีบกลบเกลื่อนว่า “ฉันพอได้ยินมาบ้างน่ะจ้ะ ข่าววีรบุรุษบาปของที่นี่ดังไกลไปถึงสุโขทัยโน่นแต่ฉันจะกลัวไปทำไม ในเมื่อฉันเป็นคนดี”

เปรื่องหัวเราะเสียงอุบาทว์ออกมาอีก ขุนเดชมองเปรื่องอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนเปรื่องก็หางตามองขุนเดชอย่างระแวงระวังเช่นกัน

ooooooo

เพราะวันนี้ที่แคมป์มีงานด่วน อาจารย์ดำรงจึงไม่ได้เอารถมารับดาราที่อนามัย บัวทองบอกให้ดารารอก่อนตนจะไปหารถมารับเอง ดาราจะเดินไปเอง บัวทองไม่ยอมเพราะดาราเพิ่งจะหายเจ็บ ว่าแล้วรีบเดินออกไป

พอบัวทองออกไปเท่านั้น ประดับก็เอารถมาเทียบ ทักทายดาราราวกับสนิทกันดี ประดับบอกว่าได้ข่าวว่าเธอถูกงูกัด ตนมาธุระที่ศรีสัชฯพอดี ยังไงก็ขอเป็นสารถีไปส่งก็แล้วกัน

ดาราทั้งเกลียดทั้งกลัว ไล่ไปให้พ้น ประดับทำยิ้มกริ่มเข้าคว้าแขนดาราลากไปขึ้นรถขับออกไปทันที

บัวทองมาเห็นคนแปลกหน้าฉุดดาราขึ้นรถ ตกใจมากรีบวิ่งไปบอกยงยุทธที่สถานีตำรวจ ยงยุทธเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือประดับแน่ๆ

บัวทองวิ่งไปหาขุนเดชที่กำลังสะกดรอยเปรื่องที่ทำทีเป็นนักท่องเที่ยวเดินดูโบราณสถานอยู่ บอกว่าดาราถูกทนายของกำนันฉุดให้รีบไปช่วยเร็วๆ ขุนเดชกังวล หันมองเปรื่องอีกทีปรากฏว่าหายไปแล้ว

ดาราดิ้นรนบอกให้ประดับจอดรถ ปล่อยตนลงเดี๋ยวนี้ ประดับบอกว่าอย่ากลัวเลย ตนแค่พาเธอมานั่งรถกินลมชมวิวเล่นด้วยกันเท่านั้น ดาราพูดอย่างรู้ทันว่า คิดว่าตนไม่รู้หรือว่าเขาจะใช้ตนแก้แค้นขุนเดชกับยงยุทธ อย่าหวังเลย ตนยอมตายเสียดีกว่าจะยอมเป็นเหยื่อ

“จะคิดสั้นไปทำไม สวยๆอย่างเธอรีบตายมันเสียดายของ...” ประดับยิ้มหื่น พริบตานั้นมันทุบที่ช่องท้องดาราจนเธอหมดสติคาเบาะนั่ง

ooooooo

ขุนเดชขี่มอเตอร์ไซค์มีบัวทองซ้อนท้ายมาเจอยงยุทธและจ่าแท่นที่ขับรถจี๊ปมา ขุนเดชถามว่าเจอดาราหรือยัง ยงยุทธบอกว่ายัง แต่สั่งให้กำลังที่โรงพักช่วยกันค้นหาแล้ว บัวทองถามยงยุทธว่าทนายคนนั้นจับดาราไปทำไมหรือ

“มันต้องการแก้แค้นพวกเรา” ขุนเดชตอบแทน

พริบตานั้นเอง มีแก๊งมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกไหมพรมตะบึงมาเป็นฝูง พวกมันมีโซ่กับไม้หน้าสามเป็นอาวุธ กรูกันเข้ามาล้อมเล่นงานพวกขุนเดช

ยงยุทธให้จ่าแท่นพาบัวทองหลบไปก่อนเพราะจะทำให้พวกตนรับมือมันไม่สะดวก บัวทองจำต้องไปกับจ่า จึงเหลือขุนเดชกับยงยุทธรับมือพวกมันเป็นฝูง

แม้จะมีฝีมือ แต่ถูกรุมล้อมกรอบแบบนี้ ทั้งขุนเดชและยงยุทธเห็นท่าจะเสียทีมันแน่ ตกลงแยกกันสู้ ยงยุทธล่อให้มันตามไปทางหนึ่ง ขุนเดชจัดการกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล้วแย่งรถขี่ล่อมันไปอีกทางหนึ่ง

ขุนเดชล่อมันเข้าไปในสวนให้มันไล่ล่าจนชะล่าใจ พอถึงคูน้ำขุนเดชหักหลบ แต่มันไม่รู้พุ่งลงคูน้ำ แล้วขุนเดชก็ล่ออีกคันให้ตามไปเจอเชือกที่ขึงดัก รถเสียหลักคนขี่ตกลงมากลิ้งไม่เป็นท่า แต่มันยังไม่ยอมแพ้ เอาสนับมือใส่สู้กันแบบตัวต่อตัว แต่สุดท้ายก็ถูกขุนเดชใช้ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก ลุยมันจนหมดสติไป แววตาขุนเดช เวลานี้แข็งกร้าว...ดุดัน!!

ส่วนยงยุทธล่อพวกมันเข้าไปในโรงงานไม้ พวกมันเหิมเกริมบิดรถเข้าหาหมายขยี้ ถูกยงยุทธถีบแกลลอนน้ำมันหก พวกมันลื่นเสียหลักล้มไม่เป็นท่า อีกคันระเบิด ตูม คนขี่กระเด็นถูกไฟลุกท่วมร้องลั่น

เหลืออีกคน มันลุยเข้ามาเงื้อไม้หน้าสามหมายเอาให้ตายในทีเดียว ยงยุทธฉากหลบได้อย่างเฉียดฉิว หันไปคว้าไม้หน้าสามมารับมือ เสียงไม้หวดกระทบกันอย่างดุเดือด แต่สุดท้ายมันก็ถูกยงยุทธเล่นงานด้วยกระบวนท่าจบ ทุ่ม ทับ จับ หัก สิ้นฤทธิ์ไปคามือ เขากระชากมันขึ้นมาตะคอกถาม
“ไอ้ประดับมันพาดาราไปไว้ที่ไหน!!”

ooooooo

ยงยุทธรีบบิดมอเตอร์ไซค์ไปยังโรงสีที่ประดับเอาดาราไปไว้ที่นั่น เจอมันขับรถออกมาพอดี มันเปิดกระจกรถมองยงยุทธยิ้มเย้ยอย่างผู้ชนะ ยงยุทธทั้งเป็นห่วงดาราและแค้นประดับ เขารีบเข้าไปในโรงสีร้าง ตะโกนเรียกดาราอย่างตระหนก

พลันยงยุทธก็ชะงักเมื่อเห็นดารานั่งกอดตัวเองร้องไห้อยู่ เขารีบเข้ากอดถามว่า

“ไอ้ประดับมันทำอะไรคุณ...ดารา...มันทำอะไรคุณ!”

ดารามองยงยุทธที่เป็นห่วงตนจนแทบจะเป็นบ้า เธอร้องไห้น้ำตานองหน้า...

“ไอ้สารเลวนั่นมันทำร้ายคุณใช่ไหม ผมจะไปตามลากคอมัน” ดาราอ้อนวอนอย่าไปยุ่งกับมัน มันไม่ได้ทำอะไรตน “คุณหมายความว่ายังไง” ยงยุทธชะงัก ดารามองหน้าเขานิ่ง

เธอเล่าว่า ประดับบอกว่ามันจับตัวเธอมาก็เพื่อให้เธอเป็นคนบอกยงยุทธกับขุนเดชแทนมันว่า

“สงครามมันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ฉันจะให้เวลาพวกมันเตรียมตัวรับมือ เมื่อฉันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ฉันจะทรมานพวกมันให้ตายทีละคน แล้วฟังเสียงพวกมันร้องครวญครางขอชีวิต”

ดาราตบหน้ามันฉาดใหญ่ มันหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ยื่นหน้าเข้ามาบอกว่า “ร่างกายเธอฉันก็ยังอยากได้อยู่นะ” ดาราตบหน้ามันอีกครั้งผลักมันออกไปด่าไอ้เลว มันหันกลับมองขู่อาฆาตว่า

“พยศไปเถอะ...ถึงเวลาของฉันเมื่อไหร่ เธอจะไม่เหลือใครปกป้องเธออีก...ฮ่าๆๆๆ”

ooooooo

ที่ถนนบนอ่างเก็บน้ำ ประดับเบรกรถกะทันหันเมื่อเห็นขุนเดชจอดมอเตอร์ไซค์ขวางถนนอยู่ ทั้งคู่ต่างรู้กันโดยสัญชาตญาณว่า นาทีเปิดศึกมาถึงแล้ว ต่างเร่งเครื่องรถดังกระหึ่มราวกับเป็นการตัดไม้ข่มนามกันในที แล้วขุนเดชก็ชักดาบดำที่เหน็บหลังออกมา ส่วนประดับถอดแว่นกันแดดออก หยิบปืนด้ามงาช้างมาเตรียมพร้อม

ทั้งคู่ขับรถพุ่งเข้าหากัน ประดับกราดปืนใส่ กระสุนนัดหนึ่งเฉียดไหล่ขุนเดชทำให้เขาเสียหลักตกจากรถ ดาบดำกระเด็นไปตกไม่ไกลแต่เอื้อมไม่ถึง

ขณะที่ขุนเดชพยายามพยุงตัวขึ้นมาในสภาพเนื้อตัวถลอกเลือดไหลซิบๆนั้น ประดับหยิบแว่นดำมาใส่ยืนมองอย่างท้าทาย แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าประลองหมัดกันอย่างดุเดือด สู้กันอยู่นานไม่มีใครชนะใคร จึงต่างถอยไปยืนหอบ

“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ขุนเดช” ประดับกล่าวอาฆาตแล้วรีบเดินไปขึ้นรถขับออกไป ขุนเดชยืนมอง แววตาคมกล้าราวกับพยัคฆ์ร้าย!

ooooooo

ดารากลับมาถึงบ้านคำปัน คำปันพูดอย่างโล่งอกว่า  ถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน  บัวทองสวนไปอย่างรับไม่ได้ว่า

“ฟาดเคราะห์อะไรล่ะแม่ ที่น่าจะฟาดให้เลือดอาบควรจะเป็นไอ้ทนายจากกรุงเทพฯนั่นต่างหาก” แล้วถามยงยุทธว่า “ตกลงตามจับมันมาไม่ได้เลยเหรอคะหมวด”

ยงยุทธนิ่ง บัวทองฉุนถามว่า “ว่าไงล่ะคะหมวด อย่าบอกนะคะว่ามันก่อเรื่องอุกอาจขนาดนี้แล้ว หมวดก็ยังทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับที่ต้องปล่อยให้ไอ้สัมฤทธิ์ไล่ยิงพี่ขุนเดช”

“บัวทอง... เอ็งยังไม่เข้าใจ ไอ้ทนายนั่นมันหัวหมอ ถ้าไม่มีหลักฐานที่เล่นมันหนักๆได้ ยังไงมันก็ดิ้นหลุด ดีไม่ดีมันจะหาทางดึงผู้ใหญ่มาเล่นงานกลับเราได้อีก” จ่าแท่นพูดอย่างผู้มีประสบการณ์

“อ๋อ...ที่แท้ก็กลัวร้อนเก้าอี้ตัวเอง คนร้ายทำผิดกฎหมายกลับทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้มันเยาะเย้ยเล่น สู้พี่ขุนเดชก็ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ พี่ขุนเดชก็สู้กับพวกมันไม่ถอย”

“บัวทอง!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” คำปันดุลูก

“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าคำปัน ทั้งๆที่มีตำรวจอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ยังคาดหวังว่าชีวิตจะปลอดภัยไม่ได้ บัวทองมีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น...ผมขอตัวนะครับ” ยงยุทธเดินออกไปหงอยๆ คำปันเลยหันมาดุบัวทองอีกว่าพูดอะไรไม่รู้จักระวัง

ดารามองตามยงยุทธไปด้วยความเห็นใจและเข้าใจความเจ็บปวดของเขาดี...

ooooooo

ยงยุทธไปยืนครุ่นคิดที่ริมบึง คิดถึงคำพูดของบัวทองด้วยความหงุดหงิดผิดหวังตัวเอง เขาอัดอั้นจนกำหมัดชกต้นไม้เลือดออกซิบๆ พลันก็มีมือมาแตะไหล่เขา

ดารานั่นเอง...เธอบอกเขาอย่างเห็นใจว่าอย่าทำแบบนั้นเลย เขาทำดีที่สุดแล้ว ยงยุทธบอกว่าตนควรทำดีกว่านี้ ถ้าตนจัดการพวกมันได้หมด ทุกคนก็จะวางใจได้เสียทีว่า กฎหมายเป็นเครื่องมือที่มีไว้ปกป้องคนดี จัดการคนเลว

“เธอทำได้นะยงยุทธ ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ถ้าเธอเชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง ฉันก็มั่นใจว่าเธอจะจัดการกับคนเลวได้หมด”

“ดารา...แล้วกับความคิดของขุนเดชล่ะ มันเห็นตรงกันข้ามกับผม...” เห็นดารานิ่งไป เขาพูดอย่างน้อยใจว่า “ผมรู้ว่าคุณยังมีใจให้ขุนเดช มันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าคุณจะเห็นด้วย” พูดแล้วเดินไปอย่างเงื่องหงอย

ดาราตามไปกอดเขาจากข้างหลัง จนยงยุทธอึ้ง เธอให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“อย่านะยงยุทธ อย่าทิ้งอุดมการณ์ของเธอ ถ้าเธอเลือกทางเดินที่ไม่ถูกต้อง ก็คงไม่เหลือความดีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว”

“ดารา...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับผมมากกว่าขุนเดช”

“ฉันก็แค่อยากให้กำลังใจเธอ ไม่อยากให้ท้อถอย และก็ไม่อยากให้เธอเลือกทางผิด”

“ขอบใจดารา...ถ้ามีคุณเป็นกำลังใจ ผมก็จะสู้ไม่ถอย” ยงยุทธดึงดาราเข้าไปกอดแน่น ดารายิ้มให้กำลังใจเขา

ที่มุมหนึ่งริมบึง ขุนเดชยืนดูอยู่ เขากำดาบดำแน่น หันหลังให้กับเพื่อนตายและคนรักด้วยอุดมการณ์ที่ไปด้วยกันไม่ได้...

กลับมาถึงกระท่อม ขุนเดชชักดาบดำออกมา ฟันฉับใส่เสาไม้ที่ใช้ฝึกฟันดาบเป็นประจำ แต่พอดาบกินเข้าไปในเนื้อไม้ เขารีบดึงออกมา มองคมดาบที่บิ่นเพราะการต่อสู้ด้วยสีหน้าเจ็บใจ

ไม่นาน ขุนเดชก็ลับคมดาบให้กลับมาคมได้เหมือนเดิม เวลานี้ ใจเขาร้อนรุ่มกว่าเตาไฟที่อยู่ตรงหน้าเสียอีก!

หลังจากลักลอบสำรวจทั่วบริเวณโบราณสถานแล้ว เปรื่องก็ลงมือทันที มันไม่ได้ลักขุดเหมือนโจรทั่วไปแต่มันใช้ระเบิด ระเบิดฐานเจดีย์โบราณจนแตกหักกระจุยฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ...

ยงยุทธกับจ่าแท่นอยู่ที่ถนนลูกรัง ต่างได้ยินเสียงระเบิด ยงยุทธถามจ่าว่า แถวนี้มีสัมปทานให้ระเบิดหินด้วยหรือ

“ไม่มีหรอกครับหมวด ที่นี่เป็นเมืองเก่า เป็นแหล่งโบราณสถาน เสียงตูมแบบนี้ สงสัยจะฝีมือพวกลักขุดกรุ มันใช้ระเบิดแทนจอบเสียม ไม่ต้องเสียเวลาขุด”

“งั้นรีบไปดูกัน” ยงยุทธหน้าเครียด จ่ารีบกลับรถ ตะบึงไปตามทิศที่ได้ยินเสียงระเบิดเมื่อครู่...

ooooooo

หลังจากฝุ่นจางแล้ว เปรื่องรีบมุดเข้าไปดูที่ฐานเจดีย์ พบโพรงใหญ่ มันเอามือควานเจออะไรบางอย่าง ดึงออกมาเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง แต่มีคราบสนิมสีเขียวเกาะเต็มทั้งองค์

“โธ่เว้ย...พระอะไรวะเนี่ย สนิมจับเขรอะเลย เสียเวลาฉิบ...” มันสบถ คิดจะทิ้งไว้ตรงนั้น

ทันใดนั้น ลมพัดอื้ออึง ท้องฟ้ามืดครึ้มฉับพลัน ฟ้าแลบน่ากลัว เปรื่องแหงนมองท้องฟ้าพึมพำว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความสงสัย เปรื่องยกพระพุทธรูปขึ้นพิจารณาอีกครั้ง ลองเอามือขัดคราบสนิมออก มันตกใจ อุทาน...


“เฮ้ย!! เนื้อทองแดงนี่หว่า...” ทันใดนั้น ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา เปรื่องกระเด็นไปหลายเมตร มันลุกขึ้นแค่รู้สึกมึนๆ เท่านั้น คราวนี้ มันยิ่งอัศจรรย์ใจ “เป็นไปได้ยังไงวะ โดนฟ้าผ่าแต่ไม่ตาย...หรือว่า! พระพุทธรูปฟ้าผ่า...ฮ่าๆๆๆ รวยแล้วเว้ย...ไอ้เปรื่อง รวยแล้ว...”

เปรื่องหัวเราะยังไม่ทันสะใจ เสียงรถของยงยุทธก็ดังเข้ามา มันสบถ

“เวรเอ๊ย...ตำรวจมา มันโผล่มาทำไมตอนนี้วะ ขัดลาภฉิบห...” มันหน้าเครียดมองพระพุทธรูปในมือคิดหนัก...

ooooooo

เมื่อยงยุทธมาถึงบริเวณที่ได้ยินเสียงระเบิด สวนกับเปรื่องเดินออกมาพอดี ยงยุทธยกปืนเล็งสั่งให้หยุด เปรื่องยกสองมือชูร้องบอก

“อย่าครับคุณตำรวจ ผมเป็นพลเมืองดี ผมไม่ใช่ คนร้าย”

เมื่อยงยุทธกับจ่าชะงัก เปรื่องเล่าอย่างตื่นเต้นว่า

“ผมเจอไอ้พวกขุดกรุมันระเบิดเจดีย์ กำลังจะขโมยวัตถุโบราณ เลยออกมาสู้กับมัน พอได้ยินเสียงตำรวจมา มันตกใจก็เลยหนีเตลิด”

“หน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้แน่ครับหมวด” จ่าแท่นมองอย่างระแวง

“ผมไม่ใช่คนร้ายจริงๆนะครับ ถ้าไม่เชื่อ ผมจะพาไปดูว่าพวกมันขุดเจออะไรบ้าง”

ooooooo

ที่วัดเกาะน้อย ขุนเดชซ่อมช่วงล่างรถกระบะเก่าๆอยู่ หลวงลุงเดินมาถามว่าเสร็จหรือยัง

“ครับหลวงลุง ผมเปลี่ยนเพลาใหม่ให้แล้ว หลวงลุงจะได้ออกไปรับกิจนิมนต์ได้”

“ขอบใจมากนะ เอ็งเสร็จแล้วก็ไปนอนพักเถอะ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยไม่ใช่เหรอ หลวงลุงได้ยินเอ็งทำงานทั้งคืน” ขุนเดชชะงักรู้สึกผิด เอ่ยขอโทษที่รบกวน “ก็ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก แต่เสียงตีเหล็กของเอ็งทำให้หลวงลุงเป็นห่วง ใจเอ็งเป็นอะไร ทำไมถึงได้ร้อนรุ่มนัก”

“เรื่องเก่าๆมันรบกวนจิตใจของผมครับหลวงลุง”

“เดี๋ยวนี้เอ็งคงไม่ได้นั่งสมาธิตามที่หลวงพ่อสุขสั่งเสียไว้เลยใช่ไหม อย่าทิ้งนะขุนเดช ที่หลวงพ่อกำชับให้เอ็งหมั่นทำสมาธิบ่อยๆ ต้องมีเหตุผลที่สำคัญแน่”

ระหว่างนั้นเอง บัวทองก็ปั่นจักรยานเร็วจี๋มาถึงก็เบรกเอี๊ยด พูดหน้าตาตื่นเครียดว่า

“พี่ขุนเดช” พลันก็ชะงักเมื่อเห็นหลวงลุง รีบยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะหลวงลุง พอดีมีเรื่องด่วนจี๋ค่ะ” ว่าแล้วจับมือขุนเดชเร่งยิกๆ “รีบไปกันเถอะพี่ขุนเดช มีคนเจอวีรบุรุษบาปที่เล่นงานพวกขุดกรุแล้วล่ะพี่”

ขุนเดชมองหน้าบัวทองอย่างแปลกใจมาก...

ooooooo

เมื่อไปถึงบริเวณที่ระเบิดเจดีย์ มีเชือกกั้นไว้รอบๆ ชาวบ้านพากันมุงดูอย่างสนใจ บัวทองชี้ให้ขุนเดชดูเปรื่องที่ยืนอยู่กับยงยุทธ บอกว่า

“นั่นไงพี่ขุนเดช คนที่ช่วยปกป้องพระพุทธรูปเอาไว้ได้”

พอขุนเดชเห็นว่าเป็นเปรื่องก็ยิ่งมองอย่างแปลกใจ ในขณะที่เปรื่องก็เล่าเป็นคุ้งเป็นแควว่า

“ผมไม่ทันเห็นหน้าไอ้คนที่มาระเบิดขุดกรุหรอกครับหมวด มันปิดหน้าปิดตากลัวคนจะรู้ว่ามันเป็นใคร”

“แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นวีรบุรุษบาปที่เรากำลังตามตัวอยู่” ยงยุทธถาม ทำเอาเปรื่องอึ้งไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า

“ตอนสู้กันมันขู่ฉัน มันบอกว่าจะเล่นงานฉันเหมือนกับพวกที่เคยขวางทางมัน” ขุนเดชถามแทรกขึ้นว่าถ้าเจอหน้ามันอีกทีก็คงชี้ตัวได้ใช่ไหม “ได้สิ...ท่าทางของมันฉันจำได้แม่น เจออีกทีรับรองจำได้แน่นอน”

ยงยุทธสรุปว่า ถ้าอย่างนั้นคงต้องให้เปรื่องอยู่ที่นี่ จนกว่าเราจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยมาให้ชี้ตัว เปรื่องรับปากอย่างกระตือรือร้นว่าตนยินดีช่วยเหลือราชการอยู่แล้ว พูดแล้วหัวเราะเสียงแปร่งบาดแก้วหู

ขุนเดชมองเปรื่องอย่างทันว่า มันกำลังโกหกคำโต

บัวทองถามยงยุทธว่าแล้วพระพุทธรูปที่ขุดขึ้นมาอยู่ไหน ยงยุทธบอกว่าติดต่อให้คณะของอาจารย์ประทีปนำไปศึกษาและเก็บไว้ที่แคมป์แล้ว

เปรื่องฟังอย่างเก็บรายละเอียดด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นขุนเดชจ้องเขม็งอยู่!

ooooooo

ที่แคมป์โบราณคดี...

ดารากำลังถ่ายรูปพระพุทธรูปฟ้าผ่าที่ทำความสะอาดแล้วเนื้อทองแดงวับไปทั้งองค์ ดาราบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดพลางคุยกับอาจารย์ประทีปว่า

เป็นพระพุทธรูปที่แปลกมาก เพราะปกติจะไม่ค่อยพบการใช้ทองแดงบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวมาสร้างเป็นองค์พระกันเท่าไหร่

“ก็มีบ้างที่พบ แต่ส่วนใหญ่เป็นการสร้างเพราะความเชื่อมั่นและความศรัทธามากกว่า เหมือนกับตำนานพระพุทธรูปฟ้าผ่า” ดาราฟังแล้วถามว่าเป็นยังไงหรืออาจารย์ ประทีปบรรยายว่า “ทองแดงธรรมชาติเป็นโลหะชนิดแรกคู่กับทองคำที่มนุษย์ค้นพบและนำมาใช้ประโยชน์ หลายครั้งที่ยอดโบสถ์มักจะถูกฟ้าผ่าเพราะมีทองแดงผสมอยู่”

ขุนเดชเดินเข้ามาได้ยิน อธิบายเพิ่มเติมอย่างผู้รู้ว่า

“คนโบราณจึงมีความเชื่อว่า ถ้านำทองแดงสายล่อฟ้าหลังคาโบสถ์ ที่ถูกฟ้าผ่ามาหลอมรีดเป็นแผ่นแล้วลงอักขระยันต์ตามตำรามาสร้างเป็นเครื่องบูชา ของสิ่งนั้นก็จะเป็นจุดศูนย์รวมอำนาจ ดึงดูดพลังจากธรรมชาติ แม้แต่ฟ้าผ่าก็ทำอะไรเจ้าของไม่ได้” ขุนเดชอธิบาย ตามององค์พระอย่างสงบนิ่ง

“แต่นั่นก็เป็นแค่ตำนาน ยังไงพระพุทธรูปนี้ควรจะต้องส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะถ้าหลุดเข้าไปในตลาดค้าวัตถุโบราณได้ละก็...คงฮือฮากันน่าดู” อาจารย์ประทีปสรุป

ขุนเดชอาสาจะมาเฝ้าให้ก่อนที่จะส่งพระพุทธรูปเข้าพิพิธภัณฑ์ อาจารย์ประทีปยินดี แต่ยงยุทธท้วงติงว่า ตนส่งตำรวจมาดูแลดีกว่าเพราะขุนเดชเองก็เคยถูกวีรบุรุษบาปเล่นงานมาแล้ว ถ้ามันบุกมาที่นี่เกรงขุนเดชจะรับมือไม่ไหว ดาราเห็นว่าทั้งสองทำท่าจะงัดข้อกันอีก เลยรีบแทรกขึ้นว่าขุนเดชทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ปล่อยให้ยงยุทธจัดการเถอะ

ooooooo

ที่บ้านกำนันบุญ...ทั้งประดับและเปรื่องอยู่กันพร้อมหน้า กำนันบ่นเปรื่องว่า ฝีมือก็ไม่ธรรมดาแต่ทำไมกับแค่หมวดกับจ่าแก่ๆถึงจัดการไม่ได้ ปล่อยให้ยึดพระพุทธรูปไปได้ ประดับเยาะเย้ยว่าสงสัยที่กำนันบอกไว้จะเป็นราคาคุยมากกว่ารวบรัดตัดบทว่า

“ผมไม่สนว่ากำนันจะทำยังไง กำนันรู้ดีอยู่แล้วว่า พระพุทธรูปฟ้าผ่าสำคัญมากแค่ไหน” พูดแล้วเดินออกไปโอบผกาที่เพิ่งมาถึงพร้อมลูกน้องของเขา หอมฟอดหนึ่งแล้วพากันออกไป กำนันมองตามตาเป็นมันเพราะตัวเองก็ติดใจผกาเหมือนกัน

เปรื่องพูดอย่างไม่ถูกชะตาว่า คนของเจ้านายกำนันนี่น่าหมั่นไส้จริงๆ ถามว่าตนจะจัดการให้เอาไหมแล้วฉุดนังนั่นมาให้กำนัน อาสาทำให้ฟรีๆ

“ไม่ต้อง...มันกับข้า ยังมีธุระต้องทำด้วยกันอีกเยอะ ว่าแต่เอ็งเถอะ อย่าทำให้ข้าต้องเสียพระพุทธรูปฟ้าผ่าไปเด็ดขาด”

“ไม่ต้องห่วง ฉันวางแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเอาไว้หมดแล้ว ทั้งไอ้วีรบุรุษบาป ทั้งไอ้หมวดขาลุยนั่น ถ้าทำตามแผนที่ฉันบอกละก็...งานนี้คุ้มค่า เกินค่าจ้างแน่ๆ” แล้วเปรื่องก็หัวเราะเสียงอุบาทว์อย่างสะใจ

ooooooo

เรื่องย่อ ขุนดเช ตอน4 ละครช่อง 7



บัวทองงอนตะปัดตะป่องกลับบ้านบ่นให้ดาราฟังว่า ถูกขุนเดชหาว่าพูดเพ้อเจ้อและไล่ให้รีบกลับมาช่วยแม่ทำงานให้สนใจแต่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียวพอ ทั้งๆที่เรื่องที่ตนถามมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนที่นี่ทั้งนั้น

ดาราทักท้วงว่าขุนเดชอาจกลัวบัวทองไม่ปลอดภัยก็ได้ บัวทองเลยซักว่าดาราก็เชื่ออย่างที่ตนเชื่อใช่ไหม

“อาจารย์ก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ก็เคยได้ยินทีมงานของอาจารย์ประทีปเล่าให้ฟังบ่อยๆว่า พวกโจรที่มาลักขโมยวัตถุโบราณมักจะโดนตามเล่นงานจนถึงชีวิตทุกราย”

“งั้นก็แสดงว่าบางทีฆาตกรที่คอยเล่นงานพวกใจบาปทำลายสมบัติของชาติ อาจจะตามมาถึงที่นี่แล้ว และอาจจะเดินสวนไปสวนมากับพวกเราในศรีสัชฯ โดยที่เราไม่รู้ตัว”

ฟังแล้ว ดาราก็อดที่จะคิดคล้อยตามบัวทองไม่ได้เหมือนกัน

ooooooo

ที่ไร่ข้าวโพดของชาวบ้านที่มีการขุดค้นพบเครื่อง ชามสังคโลก ทั้งหม้อ ไห พอข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านก็พากันมาขุดกันอึกทึก ชิ้นไหนที่ยังสมบูรณ์ก็ยื้อแย่งกัน

ดารามาขอร้องชาวบ้านว่า นี่เป็นสมบัติของชาติ อย่าเอาไปเป็นของส่วนตัวเลย แต่ไม่มีใครฟัง ครั้นขู่ว่า

ผิดกฎหมายก็ถูกโต้ว่า “แล้วทีไอ้พวกคนรวยๆในเมืองที่มันเอาไปประดับบ้านล่ะ ไม่เห็นตำรวจจะทำอะไรมันได้สักคน”

เมื่อดาราขวางไม่ให้ชาวบ้านเอาไปก็ถูกผลักจนเกือบล้ม ดีที่ยงยุทธเข้ามาพอดีประคองไว้ทัน ถามว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่า ดาราบอกว่าตนไม่เป็นไรแต่ต้องห้ามชาวบ้านอย่าขุดทำลายอีกเพราะของทุกชิ้นมีค่าทางประวัติศาสตร์

อาจารย์ประทีปเอาโทรโข่งประกาศปรามชาวบ้านว่าทำแบบนี้ผิดกฎหมาย ชาวบ้านก็กรูกันเข้ามาโต้อย่างเผ็ดร้อนว่า

“ไม่ต้องมาขู่พวกเราหรอกอาจารย์ ตำรวจก็ดีแต่เข้าข้างคนรวย ทีกับคนจนล่ะจับได้จับเอา พวกเราไม่กลัวหรอก ใช่ไหมพวกเรา” ชาวบ้านพากันเฮโลเข้ามาจนทำท่าชุลมุน ยงยุทธจึงตัดสินใจเอาโทรโข่งจากอาจารย์ไปพูดอย่างแข็งกร้าว

“จะจนจะรวยผมไม่สน ถ้าหน้าไหนไม่เคารพกฎหมายจะลากคอเข้าคุกให้หมด ใครกล้าก็ลองดู!!”

ชาวบ้านส่วนใหญ่ชะงัก แต่มีบางรายตะโกนขึ้นว่า ตำรวจไม่มีน้ำยาถูกโจรดักตีหัวจนต้องหยอดน้ำข้าวต้มพวกเราไม่ต้องกลัว!

ยงยุทธตัดสินใจยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด ประกาศกร้าวว่า

“ใครมีสมบัติของแผ่นดินไว้ในครอบครอง จับขึ้นรถให้หมด!!”

พอเสียงปืนดัง ชาวบ้านก็พากันแตกหนีกระเจิง

ooooooo

เมื่อชาวบ้านพากันหนีไปหมดแล้ว ยงยุทธสั่งให้เอาเชือกกั้นบริเวณนั้นมีประกาศติดไว้ว่า “ห้ามเข้า” ขุนเดชเตือนอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า ข่าวสะพัดไปแบบนี้ ต้องมีพวกไม่กลัวคุกตะรางแอบมาลักลอบขุดอีกแน่ ยงยุทธบอกว่าตนจะอยู่เฝ้าเอง ใครมาได้เจอดีแน่

“งั้นฉันจะอยู่ช่วยด้วย” ขุนเดชอาสา

ระหว่างเฝ้าอยู่ด้วยกันนั้น ขุนเดชปรารภกับยงยุทธว่า

“ชาวบ้านที่มาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกยากจน เห็นว่าของพวกนี้เป็นสมบัติราคาแพงพวกเศรษฐียอมจ่ายไม่อั้นเลยแห่กันมาขุด”

ยงยุทธเห็นด้วย เขาจึงแค่ขู่เพราะไม่อยากซ้ำเติมพวกเขาอีก ขุนเดชย้ำว่าแต่ถ้าคืนนี้มีโผล่มาก็ไม่ใช่พวกชาวบ้านธรรมดาแล้ว เพราะพวกโจรมืออาชีพรู้กันแล้วว่าที่นี่คือขุมทองของมัน ยงยุทธจึงให้ปืนขุนเดชไว้ป้องกันตัว ขุนเดชไม่เอาบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ครั้นยงยุทธติงว่าแค่ดาบหักที่เขาพกติดตัวช่วยเขาไม่ได้หรอก

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องเจอกับโจรพวกนี้” พูดแล้วขุนเดชเดินออกไป ยงยุทธมองตามโดยเฉพาะมองดาบดำในมือขุนเดชอย่างครุ่นคิด...

ooooooo

คืนนี้ ปารมีลูกสาวรัฐมนตรีปราชญ์ที่สติไม่สมประกอบอีกทั้งได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ พากันเที่ยวไนต์คลับที่ผกาทำงานอยู่ พากันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว จนผกาหมั่นไส้หาว่าเสียงดังไล่แขกประจำของตนออกไปนั่งที่อื่นกันหมด แต่พอเข้าไปเตือนก็ถูกตบหน้าถามว่า “รู้ไหมฉันลูกใคร!”

ผกาถูกตบก็จะเอาคืน ถูกประดับออกมาสั่งห้ามแตะต้องเด็กคนนั้นเด็ดขาด แล้วลากผกาออกมาข้างนอกบอกว่า นั่นคือลูกสาวท่านปราชญ์ ระหว่างนั้นปารมีมาตามประดับเห็นคุยอยู่กับผกาก็ถามว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังเสนอขายตัวอยู่หรือ

ประดับบอกว่าเปล่าตนแค่เรียกมาเตือน ปารมีมองผกาด้วยหางตา บอกประดับว่าสั่งสอนเสร็จก็เข้าไปสนุกกับตน ย้ำว่าอย่าลืมล้างมือให้สะอาดด้วย “สกปรกอย่างนังนี่เดี๋ยวเสนียดจะมาติดปา”

ผกาบอกประดับว่าถ้าคืนนี้ไม่ได้ตบนังเด็กบ้านี่ตนนอนไม่หลับแน่ แต่พอประดับบอกว่าคืนนี้ให้ไปรอตนที่ห้อง เสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา พอเธอถามว่าธุระอะไร ประดับเชยคางเธอมองตายิ้มร้ายบอกว่า

“เธอก็รู้ว่าคนอย่างฉัน ไม่ยอมเป็นขี้ข้าใครนานๆ” พูดแล้วเดินตามปารมีเข้าไป ผกาได้แต่มองตามอย่างสงสัย

ooooooo

ยงยุทธบอกให้ขุนเดชไปงีบสักพักตนให้ลูกน้องผลัดเวรยามแล้ว ขุนเดชบอกว่าไม่เป็นไรตนชินแล้ว ระหว่างนั้นยงยุทธเอ่ยชื่นชมพ่อของขุนเดชว่าเป็นคนเอาการเอางาน เก่ง ใครๆก็ยกย่องว่าเป็นเหมือนทหารของพระร่วง พึมพำว่าถ้าตอนนั้นดาบดำไม่หักเสียก่อนพ่อเขาอาจไม่ตาย ถามว่า

“จริงรึเปล่าที่เขาว่ากันว่า ดาบดำเป็นอาวุธหายากที่มีเฉพาะในกลุ่มช่างตีเหล็กในศรีสัชฯ มีความคมและแข็งแกร่งเหนือกว่าดาบทั่วไป พลางจับด้ามดาบดำจะชักออกมาดู ถูกขุนเดชตะปบไว้บอกว่ามันก็แค่เรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น ตัดบทว่าดึกแล้ว ตนจะไปงีบเอาแรงหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็ลุกไปเลย

ดึกคืนนี้เอง พวกโจรแอบเข้ามา มันฆ่าตำรวจที่เฝ้ายามแต่เดินมาสะดุดเชือกที่ขุนเดชขึงไว้ ทำให้กระป๋องที่ผูกปลายเชือกกระทบกันเสียงดังปลุกขุนเดชขึ้นมา กำดาบแน่นอย่างรู้สถานการณ์!

“คนบาปอย่างพวกมึงโทษคือตายสถานเดียว” ขุนเดชพึมพำ ชักดาบดำออกจากฝัก เป็นดาบดำคมกริบที่ลุงเถินให้ไว้นั่นเอง!

การปะทะกันระหว่างตำรวจกับโจรเปิดฉากขึ้นทันที พวกโจรใช้ดาบ ส่วนตำรวจใช้ปืน ยงยุทธหมายจับเป็นโจร พวกมันมาช่วยไว้แต่ก็ถูกกระสุนปืนของยงยุทธที่ไหล่ พากันวิ่งหนี ยงยุทธไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ

ตามไปจนทัน ยงยุทธปล่อยให้มันไล่ฟันจนหมดแรงแล้วใช้เชิงมวยกระโดดตีเข่าจนมันหงายหลัง แต่พอจะตามซ้ำก็ถูกอีกคนกำทรายซัดใส่หน้า ทรายเข้าตายงยุทธจนลืมไม่ขึ้น มันฉวยโอกาสนั้นพากันหนีรอดไปได้

ขุนเดชเดินเข้ามา แต่ยงยุทธยังลืมตาไม่ขึ้นจึงพยายามออกหมัดป้องกันตัว สุดท้ายถูกขุนเดชเดินเข้าทางข้างหลังใช้ด้ามดาบดำตีเข้าที่ต้นคอทีเดียวทรุดหมดสติ ขุนเดชพูดกับร่างยงยุทธที่นอนนิ่งกับพื้นก่อนเดินไปว่า

“ฉันเสียใจด้วยนะเพื่อน คุกไม่ใช่สถานที่รับโทษของพวกมัน!”

ขุนเดชตามไปเจอโจรทั้งสองกำลังทะเลาะกันเพราะอีกคนจะทิ้งคนเจ็บเอาตัวรอด คนที่เจ็บอยู่ถูกอีกคนแทงทะลุท้อง พอมันดึงดาบออกมา ขุนเดชก็ปรากฏตัว

“สันดานโจรอย่างพวกมึง เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ฆ่าได้แม้แต่พวกเดียวกัน” มันตกใจถามว่ามึงเป็นใคร “กู...ขุนเดช เพชฌฆาตที่มาลงทัณฑ์พวกมึง”

พริบตานั้นมันยิงใส่ ขุนเดชหลบทันมันเลยหนีไปได้ ขุนเดชจึงกลับมาหาคนที่ถูกแทงนอนหายใจรวยริน มันร้องขอความช่วยเหลือ ขุนเดชมองมันด้วยแววตาเพชฌฆาต เดินเข้าประคองมันขึ้นมา...

ทันใดนั้นมีเสียงคนเดินมา ขุนเดชจึงหลบไป มันหันไปยิงรัวใส่จนกระสุนหมดลูกโม่ ถูกโจรที่ย้อนกลับมาเลือดโชก เดินโซเซมาล้มตายแทบเท้าเพื่อนมัน ขุนเดชย่องมาข้างหลังใช้ดาบดำรุกไล่โจรที่เหลือจนมันหมดแรง พริบตานั้นขุนเดชเงื้อดาบฟันดาบเดียวผ่ากลางหัวมาถึงอก ตายคาที่!

ooooooo

หลังจากได้โล่โลหะสีเขียวแล้ว ก้องเกียรติทำพิธี จู่ๆเทียนก็ดับ ควันลอยวนไปเข้าร่างปราชญ์จนหมดแล้วเทียนก็กลับติดขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

“ที่เข้ามาในตัวฉันเมื่อกี้ ฉันรู้สึกได้เลยอาจารย์ พลังของอำนาจและบารมีที่ใครๆก็ต้องยำเกรงฉัน” ปราชญ์พูดอย่างอหังการ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อก้องเกียรติบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ก้องเกียรติแจ้งว่า ปราชญ์จะต้องหาวัตถุโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ 7 อย่างเพื่อนำมาประจำไว้แต่ละทิศและลงอักขระหัวใจพยัคฆ์กำกับไว้เพื่อให้พลังนั้นเข้าสู่ตัวเขา ประดับรับฟังอยู่ด้วย ถามว่าแล้วทิศที่ 8 ล่ะ

“เมื่อได้โลหะครบทั้ง 7 อย่าง ทิศที่ 8 ก็คือท่าน “สัตตโลหะบุรุษ” ชายผู้มากด้วยอำนาจและบารมีแผ่ไพศาลไปทั่วแผ่นดิน”

“ประดับ...หน้าที่ตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ ฉันไว้ใจแกได้ใช่ไหม” ปราชญ์หันไปถามประดับ พอเขารับคำปราชญ์ก็หัวเราะอย่างผู้ยิ่งใหญ่...

ooooooo

ยงยุทธพยายามหาตัวคนที่ทำร้ายตน แต่ถามใครก็ไม่มีคนรู้ว่าเป็นใคร ไม่มีใครเห็นหน้าคนร้ายสักคน

แม้แต่ขุนเดชเองก็ตอบดาราที่ถามถึงคนร้ายว่าไม่รู้ว่าใครคือคนทำร้ายยงยุทธและตน ยงยุทธบอกว่าตนจำเป็นต้องสอบปากคำขุนเดชเพราะขุนเดชคนเดียวที่อาจจะรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร?!

แต่พอสอบปากคำขุนเดชจริงๆ ยงยุทธก็ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเพราะขุนเดชยืนยันว่าตอนนั้นมืดมากตนมอง

ไม่เห็นหน้าคนร้าย ยงยุทธขอร้องให้พยายามช่วยคิดเพราะตนไม่อาจปล่อยให้มันลอยนวลไปได้ เมื่อขุนเดชยืนกรานว่าตนไม่รู้

ยงยุทธถามตรงๆว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือพยายามช่วยพวกมันกันแน่

จ่าแท่นเห็นบรรยากาศตึงเครียด บอกยงยุทธให้ใจเย็นๆกลับถูกเอ็ดว่า พวกมันเป็นฆาตกร ถึงจะเป็นคนตามล่าฆ่าพวกโจรแต่ยังไงก็เป็นการทำผิดกฎหมาย พูดแข็งกร้าวว่า “มันไม่มีสิทธิ์มาตั้งศาลเตี้ยในพื้นที่ที่ ผมรับผิดชอบ!”

ขณะบรรยากาศกำลังตึงเครียดนั่นเอง ตำรวจนายหนึ่งมาบอกว่าพวกชาวบ้านแห่กันมาเต็มโรงพักแล้ว

ooooooo

ก่อนหน้านี้ คำปันกับบัวทองไปเดินซื้อของในตลาดหมู่บ้าน สองแม่ลูกคุยกันถึงการตายของพวกลักลอบขุดวัตถุโบราณ บัวทองบอกแม่ว่า ฆาตกรคนนั้น เป็นคนดีเพราะฆ่าแต่โจร แบบนี้ต้องเรียกว่า “วีรบุรุษบาป”

สาลี่เมียอาฮวดได้ยิน หลังจากนั้นจึงรวมตัวกับชาวบ้านไปที่หน้าโรงพัก จนยงยุทธต้องออกมารับหน้า สาลี่ก้าวออกมาบอกยงยุทธว่า พวกตนต้องการมาถามความจริง รู้สึกที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้วเพราะมี “วีรบุรุษบาป” คอยออกอาละวาดฆ่าคนอยู่

ยงยุทธให้ความมั่นใจว่า ตราบใดที่ตนอยู่ที่นี่ ตนจะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย ถูกสาลี่ย้อนว่า ตัวหมวดเองก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้วพวกตนจะไว้ใจได้อย่างไร ขุนเดชเห็นยงยุทธอึ้งไป เขาจึงก้าวออกมาพูดกับชาวบ้านว่า

“ไอ้คนที่ตาย มันสมควรตายเพราะความเลวที่มันทำ ถ้าทุกคนไม่ใช่คนเลว ไม่ลักขโมยสมบัติของชาติ จะต้องกลัวอะไรกันนักหนา”

เมื่อชาวบ้านพากันเงียบ ขุนเดชเดินมาหา มองทุกคนถามว่า

“หรือว่าที่มากดดันตำรวจ โวยวายกลัวจะไม่ปลอดภัย เพราะคิดว่าจะทำเลวอย่างพวกมัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังไงคนชั่วก็หนีไม่พ้นบาปกรรม สู้กลับบ้าน ไปตั้งหน้าตั้งตาทำงาน คอยเป็นหูเป็นตาให้ตำรวจดีกว่า”

ชาวบ้านหันมองหน้ากันอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของขุนเดช ทำให้ยงยุทธเสียหน้ามองขุนเดชอย่างไม่พอใจ

กลายเป็นเรื่องผิดใจกันของยงยุทธกับขุนเดช ยงยุทธตำหนิขุนเดชว่าการกระทำของเขาทำให้ตนกลายเป็นหัวหลักหัวตอต่อหน้าชาวบ้าน ขุนเดชบอกว่าตนก็แค่พูดความจริงไม่อย่างนั้นชาวบ้านจะยิ่งสิ้นศรัทธาในตัวเขา

ยงยุทธย้อนกลับมาถามอีกว่างั้นให้เขาบอกมาว่าใครเป็นคนฆ่าโจร ขุนเดชบอกว่าไม่รู้ ยงยุทธดักคอว่าไม่รู้หรือไม่ยอมบอก เพราะเขาเองก็สะใจที่มีฆาตกรอย่างนั้นมาคอยช่วยปกป้องสมบัติของชาติที่ทั้งตัวเขาและพ่อเขาทุ่มเทชีวิตปกป้อง

“พอได้แล้วยงยุทธ” เสียงดาราดังแทรกเข้ามา ยงยุทธหันมอง ดาราพูดใส่หน้าเขาว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะทำให้ฉันผิดหวังได้มากขนาดนี้”

ดารามองยงยุทธอย่างไม่พอใจ แล้วหันประคองขุนเดชพาขึ้นรถขับออกไป ยงยุทธมองตามด้วยความเสียใจ...

ooooooo

พาขุนเดชกลับถึงกระท่อมแล้ว ดาราจะทำแผลให้ ขุนเดชบอกว่าเดี๋ยวตนจัดการเอง ดาราถามว่าอะไรทำให้ยงยุทธต้องกดดันเขาถึงเพียงนั้น ขุนเดชติติงว่ายงยุทธต้องทำตามหน้าที่เธอไม่ควรไปว่าเขาเพราะจะทำให้เขาหมดกำลังใจ ตัดสินใจบอกดาราว่า “คุณไม่รู้หรอกดารา ว่ายงยุทธรักคุณมากขนาดไหน”

“แล้วเธอล่ะขุนเดช เธอเคยรักฉันบ้างรึเปล่า” ดาราถาม ขอร้องให้เขาตอบอย่าให้ตนต้องอยู่กับความสงสัยอีกต่อไปเลย

“ผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับคุณหรอกดารา ยงยุทธมันเป็นคนดี เหมาะสมกับคุณที่สุดแล้ว กลับไปหามันเถอะ คุณเป็นคนเดียวที่จะทำให้มันมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป”

ดาราทั้งเสียใจ น้อยใจถามว่า เขายืนยันว่านี่คือ คำตอบใช่ไหม นี่เป็นคำตอบที่เขาทิ้งตนไปใช่ไหม

“ใช่...เหตุผลที่ผมจากไปในวันนั้น...มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ผมรักใครไม่ได้ เพราะชีวิตผมถูกลิขิตให้ต้องเดินตามรอยพ่อ ปกป้องสมบัติของแผ่นดินไม่ให้ถูกทำลาย”

ขณะนั้น บัวทองเอาปิ่นโตและกล่องยามาให้ขุนเดช เห็นดาราอยู่กับเขาในกระท่อมจึงแอบฟังอยู่ข้างนอก ได้ยินคำสนทนา และได้ยินขุนเดชบอกดาราว่า “ไปซะเถอะดารา ผมมีคนที่คอยช่วยเหลืออยู่แล้ว”

ครู่หนึ่งเห็นดาราเดินร้องไห้ออกมา บัวทองทนไม่ได้วิ่งเข้าไปทุบขุนเดชด่าว่าใจร้าย หัวใจทำด้วยอะไรถึงได้ใจยักษ์ใจมารแบบนี้ ขุนเดชยืนให้บัวทองทุบไม่ตอบโต้หรือปัดป้องแม้แต่น้อย...

บัวทองบอกขุนเดชว่า ตนรักดาราเหมือนพี่สาวคนหนึ่งไม่ยอมให้เขาทำร้ายพี่สาวตนอย่างนี้ บอกขุนเดชต้องขอโทษดาราเห็นขุนเดชยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้ก็โมโหทั้งทุบทั้งเอาก้อนหินขว้าง จนถูกขุนเดชรวบตัวดึงเบาๆ บัวทองก็ปลิวเข้าไปเกือบปะทะอกเขา

ความใกล้ชิดทำให้บัวทองใจเต้นไม่เป็นส่ำทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งขุนเดชปล่อยเธอออก บอกว่า

“บัวทองไม่ต้องห่วง พี่จะหาโอกาสไปขอโทษดาราเอง” พูดแล้วขุนเดชเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป ทิ้งบัวทองให้ยืนใจเต้นตึ้กตั้ก...ตึ้กตั้ก...อยู่คนเดียว...

ooooooo

ยงยุทธเดินหน้าหาคนฆ่าเถรกับพวกโจรลักขุดสังคโลกต่อไป ถามหมอน้อยว่าการฆ่าทั้งสองกรณีเป็นอาวุธอันเดียวกันหรือเปล่า ซึ่งหมอน้อยก็บอกได้แค่ว่าเถรถูกทำร้ายด้วยของแข็งแต่ตายเพราะพิษงู ส่วนโจรสองคนนั้นถูกของมีคมมากๆฆ่าตาย แต่จะเป็นอะไรนั้นไม่อาจระบุได้ นอกจากต้องมีอาวุธมาเปรียบเทียบกับรอยบนศพ

จ่าแท่นบ่นว่ายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เพราะตอนนี้ศพทั้งหมดก็ถูกเผาไปแล้ว

“โธ่เว้ย! ไอ้วีรบุรุษบาป แกกับฉันต้องได้เจอกันสักวันแน่!” ยงยุทธสบถด้วยความแค้น

เรื่อง “วีรบุรุษบาป” ไม่เพียงสร้างความวิตกกังวลแก่ชาวบ้านและตำรวจเท่านั้น แม้แต่สัมฤทธิ์ก็ยังนำเรื่องนี้ไป บอกกำนันผู้เป็นพ่อ แต่กำนันเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ เชื่อว่าเป็นการฆ่าเพราะหักหลังกันเองมากกว่า

“ถ้ามันหักหลังกันเองมันก็ต้องเอาสังคโลกไปด้วยสิพ่อ แต่นี่มันไม่แตะต้องอะไรเลย มันไล่ฆ่าแล้วก็เอาศพไปแขวนประจาน” สัมฤทธิ์ยังไม่วางใจ

กำนันด่าลูกชายว่าอย่าทำเป็นกระต่ายตื่นตูมหน่อยเลย เพราะพวกนั้นเป็นพวกนักขุดหางแถว แต่พวกตนไม่ใช่ปรามว่า แล้วอย่าเอาเรื่องวีรบุรุษบาปอะไรนั่นมาพูดให้ได้ยินอีก พลางคว้ากระเป๋าใบใหญ่ พยักหน้าให้ลูกน้องออกเดินทาง

สัมฤทธิ์ถามว่าพ่อจะไปไหน กำนันบอกว่าไปลับแล พอสัมฤทธิ์ขอไปด้วยก็ไม่ให้ไปบอกว่าไปเกะกะเปล่าๆ เพราะ “ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ เรื่องที่ข้าต้องรู้ให้ได้”

ooooooo

วันนี้ ขุนเดชมาหาคำปันที่บ้าน บอกว่าคนที่เคยมาทำบุญที่วัดเคยเห็นบัวทองรำ เขาชอบจึงให้ตนมาติดต่อให้ไปรำถวายที่งานวัด คำปันขอบอกขอบใจและชวนอยู่กินข้าวด้วยกัน

คำปันเดินเข้าบ้านไปแล้ว ขุนเดชหันมายิ้มกับบัวทอง ทำเอาบัวทองเงอะงะเพราะยังไม่หายเขิน ขุนเดชเอาแต่ยิ้ม บัวทองเลยขู่ว่า ยิ้มอะไร ตนไม่ฟ้องแม่ก็บุญแค่ไหนแล้ว ขุนเดชทำหน้าตายบอกว่าตนไม่ได้ทำอะไรบัวทองสักหน่อย

“ยังมาพูดอีก!! ไม่รู้ล่ะ พี่บอกฉันว่าพี่จะหาโอกาสขอโทษอาจารย์ดารา งานวัดคราวนี้เป็นโอกาสดีของพี่แล้ว ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด เข้าใจไหม!” บัวทองจ้องหน้าเอาจริงเอาจัง ขุนเดชไม่บิดพลิ้วแต่แอบยิ้มอย่างมีเลศนัย

เมื่องานวัดมาถึง ดาราแต่งหน้าให้บัวทอง แต่เจ้าตัวไม่อยากให้แต่งมาก อ้างว่ากลัวจะเกินหน้านางรำคนอื่น แต่ที่แท้เพราะเห็นขุนเดชมายืนอยู่ พอดาราออกไป บัวทองก็ไล่เขาให้รีบตามไปขอโทษดาราเร็วๆ

เมื่อบัวทองออกรำ สัมฤทธิ์มายืนดูอยู่ มันถามลูกน้องว่านางรำคนนั้นเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า งามถูกใจมาก ลูกน้องบอกว่าชื่อบัวทองเป็นหลานสาวจ่าแท่น

“บัวทอง...หึๆ มาศรีสัชฯคราวนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ” สัมฤทธิ์จ้องบัวทองตาเป็นมัน

เวลาเดียวกัน ขุนเดชเดินตามดารามา บอกว่า “ดารา...เรื่องวันนั้น...ผม...”

ไม่ทันที่ขุนเดชจะพูดต่อ หยินก็วิ่งมาบอกดาราว่า แย่แล้ว เปี๊ยะมีเรื่องกับพวกนักเลง

ที่เกิดเหตุ กบนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกำลังถูกลูกน้องของสัมฤทธิ์ลวนลาม เปี๊ยะเข้าไปช่วยก็ถูกพวกมันผลักอกไล่ไม่ให้มายุ่ง สัมฤทธิ์มาช่วยลูกน้อง ด่าเปี๊ยะว่าวอนหาเรื่องโดนกระทืบรึไง

“ปล่อยเด็กนั่นไปซะ” ขุนเดชเดินเข้ามาสั่ง

สัมฤทธิ์หันขวับถามว่าเป็นใคร กล้าดียังไงมาสั่งตน ขุนเดชยืนนิ่ง มันนึกว่ากลัว หัวเราะเยาะว่ากลัวจนใบ้กินเลยหรือ ถึงยังไงก็ต้องโดนกระทืบอยู่ดี แล้วหันไปหัวเราะกับลูกน้องอย่างผยอง

ขุนเดชตรงเข้าไปใช้มือเดียวจับมือสัมฤทธิ์บิดจนมันร้องลั่น พวกลูกน้องต่างชักมีดออกมาพร้อมลุย ขุนเดชใช้ศอกกระแทกกลางหลังสัมฤทธิ์ แล้วดึงปืนที่เหน็บหลังออกโยนให้เปี๊ยะ ผลักสัมฤทธิ์ถลาไปทางลูกน้องมัน แล้วใช้ด้ามดาบดำไล่ตีพวกมันทั้งที่แสกหน้า ที่แขน ที่แข้ง จนพวกมันล้มกันระนาว

“ไสหัวไปให้พ้น ถ้าเห็นพวกมึงมาเกะกะแถวนี้อีกเมื่อไหร่ละก็...” ขุนเดชทำท่าจะชักดาบออกมา เปี๊ยะเอาปืนของสัมฤทธิ์ที่ขุนเดชโยนให้มาช่วยขู่ พวกมันเลยต่างเผ่นตัวใครตัวมัน

เปี๊ยะชื่นชมขุนเดชมากขอให้เขาช่วยสอนการจัดการพวกนักเลงแบบเมื่อกี้ให้ด้วยได้ไหม ขุนเดชไม่ตอบแต่เอาปืนไปปลดกระสุนออกหมดแล้วเดินไปหาดาราบอกว่า


“งานวัดคืนนี้ไม่สนุกสำหรับพวกคุณแล้ว คุณควรพาลูกศิษย์กลับไปพัก” พูดแล้วจะเดินไป ดาราเรียกไว้ถามว่า

“ขุนเดช...แล้วเรื่องที่เธอจะคุยกับฉันล่ะ”

ขุนเดชมองหน้าเธอนิ่งแต่ไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเงียบ ยังความผิดหวังแก่ดาราอย่างมาก

ooooooo

ประดับกับผกามาตั้งแคมป์ที่ริมน้ำตก ระหว่างนั้น พรานนำทางซุบซิบอะไรกันอย่างตึงเครียดลแล้วพากันเก็บข้าวของ ประดับถามลูกน้องว่าพวกพรานทำอะไรกัน

“มันเจอทางเข้าถ้ำลับแลที่เราจะไปเอาสมบัติโบราณแล้วครับ แต่มันกลัวผีป่าจำแลงฆ่าเอา มันเลยจะหนี”

เท่านั้นเอง ประดับถือปืนเข้าไปยิงทิ้งพวกพรานอย่างเหี้ยมโหด ผกาถามว่ายิงพวกนั้นทำไม ประดับตอบอย่างเลือดเย็นว่า เมื่อมันหมดหน้าที่แล้วก็ไม่มีประโยชน์สำหรับตนอีก บอกลูกน้องว่าคืนนี้เราจะเข้าไปเอาสมบัติกัน สั่งผกาให้รออยู่ตรงนี้ แต่ผกากลัวจึงตามประดับเข้าไป

ฝ่ายกำนันเดินป่ามาเห็นรอยเท้ามากมาย ก็คาดว่าพวกประดับคงอยู่แถวนี้ สั่งลูกน้องให้ไปตามทางหนึ่ง ตนจะไปอีกทาง พอแยกกันแล้ว กำนันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงแหวกพุ่มไม้แอบดู

ที่ริมลำธาร ผกานุ่งกระโจมอก หันมองอย่างท้าทาย ยั่วยวน แล้วปลดผ้าลงเล่นน้ำ กำนันเหมือนโดนมนต์สะกดลงแช่น้ำกับผกา กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างถึงพริกถึงขิง พริบตาเดียว กำนันก็ผลักผกาออก ชักดาบที่เหน็บเอวออกจากฝัก

“คิดว่าหลอกข้าได้เหรอนังผีป่าจำแลง!” กำนันพลิกคมดาบที่มียันต์อักขระกำกับอยู่ที่เนื้อดาบ ผีป่าจำแลงถอยหนี กำนันกำดาบไล่ฟัน ผีป่ากรีดร้องเลือดสาด ก่อนหายวับไป

ooooooo

ผกาเข้าไปในถ้ำกับประดับ เธอมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว ถามประดับว่าสมบัติที่เขาตามหาคืออะไรหรือ?

“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินบริสุทธิ์ สมบัติที่โยนกนครส่งมาให้หนานคำสือผู้สร้างเมืองลับแล แต่สูญหายระหว่างทาง”

ทันใดนั้น ลูกน้องประดับร้องบอกอย่างตื่นเต้นว่า “คุณประดับครับ...เจอแล้วครับ”

ประดับรีบไปดู เขายกกล่องจากหลุมขึ้นมา ใช้ด้ามปืนทุบสลักที่ล็อกกล่องออก เมื่อเปิดกล่องก็พบเทวรูปนารายณ์ขนาดหนึ่งศอก หล่อจากเงินบริสุทธิ์ สวยงาม และดูขลังจนตื่นตะลึง

“ในที่สุดก็เจอจนได้” ประดับพูดอย่างดีใจสุดๆ แต่ขณะเขาจะเอาเทวรูปใส่กระเป๋าเป้นั่นเอง ผกาก็กรีดร้อง สุดเสียง ประดับกับลูกน้องหันไปดู เห็นนักรบโบราณหน้าตาถมึงทึง ถือดาบคู่เป็นอาวุธ จ้องมาตาแดงก่ำ!

ooooooo

ที่งานวัด...ขุนเดชเดินอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่กำลังเที่ยวงานวัดกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน สัมฤทธิ์ สะกดรอยตามทัน มันบุกเข้ายิงในระยะเผาขน แต่เป็นจังหวะที่ชาวบ้านในซุ้มยิงปืนลมยิงขึ้นมาก่อน ขุนเดชหันไปมอง กระสุนของสัมฤทธิ์เลยพลาดเป้าไปโดนตุ๊กตาเป้าปืนลมแทน

ชาวบ้านแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลหม่านบังทางปืนของสัมฤทธิ์จนมันยิงขุนเดชไม่ได้เลยยิงขึ้นฟ้า ชาวบ้านเลยยิ่งแตกตื่น และขุนเดชก็หายไปท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย

“มึงหนีกูไม่พ้นหรอก...ไอ้ขุนเดช!”

ดารากับบัวทองถามชาวบ้านที่วิ่งมาว่าเกิดอะไรขึ้น พอชาวบ้านบอกว่าขุนเดชถูกพวกสัมฤทธิ์ไล่ยิง บัวทองก็วิ่งสวนชาวบ้านไปหาขุนเดชจนดาราห้ามไม่ทัน

ที่หลังวัด ขุนเดชถูกลูกน้องสัมฤทธิ์สองคนไล่ตามมารุม คนหนึ่งถูกขุนเดชใช้เชิงมวยเล่นงานจนกระเด็นไปกระแทกเจดีย์กระอักเลือดหมดสติ อีกคนยิงใส่ก็ถูกขุนเดชเอาด้ามดาบดำรับกระสุนกระเด็นแล้วฟาดมือมันจนปืนกระเด็น จากนั้นพุ่งเข้าศอกกลับหลังจนมันเลือดกบปาก สลบในศอกเดียว

ยงยุทธมาที่เกิดเหตุให้จ่าแท่นพาชาวบ้านที่ถูกลูกหลงบาดเจ็บออกไป ส่วนตัวเองต่อสู้กับลูกน้องสัมฤทธิ์ที่ตามประกบ มันล่อยงยุทธให้ไล่ตามไปคนละทิศกับที่สัมฤทธิ์กำลังไล่ตามขุนเดชไป แต่ในที่สุดลูกน้องสองคนนั้นก็ถูกยงยุทธที่ฝีมือเหนือกว่าจับใส่กุญแจมือไว้ด้วยกัน

สัมฤทธิ์ไล่ตามขุนเดชไปยิงรัวไล่ล่าจนกระสุนเหลือนัดเดียว ขุนเดชท้าว่าตนจะยืนเป็นเป้านิ่งให้มันยิงด้วยกระสุนนัดสุดท้าย ถ้ายิงไม่โดนก็ให้คลานเป็นหมา กลับไปหากำนันได้เลย

ขุนเดชยืนเป็นเป้านิ่งให้ยิง เขาแหงนมองก้อนเมฆบนท้องฟ้าอย่างคิดคำนวณ สัมฤทธิ์เล็งอย่างดี แต่พอเหนี่ยวไกเมฆก็บดบังดวงจันทร์พอดีทำให้มันยิงพลาดเป้า มันรีบบรรจุกระสุนแต่ช้าไปแล้ว ขุนเดชสั่งสอนมันด้วยเชิงมวยจนเลือดกบปากสะบักสะบอม ขณะขุนเดชกระชากมันขึ้นมาง้างหมัดสุดท้าย ไม่ทันชกยงยุทธก็เข้ามาห้ามไว้ แต่สัมฤทธิ์ก็หมดสติไปแล้ว

ooooooo

ในถ้ำลับแล...ประดับกับผกาพากันวิ่งหนีนักรบโบราณ ประดับยิงใส่ไม่ยั้งแต่ไม่ระคายผิวนักรบโบราณเลย ตัวเองกลับถูกนักรบโบราณฟันจนบาดเจ็บ จังหวะที่ประดับสู้อย่างจนตรอกและกำลังจะถูกนักรบโบราณฟันนั่นเอง ดาบเหล็กน้ำพี้ของกำนันก็พุ่งเข้าปักอกนักรบโบราณจนชะงัก

กำนันโผล่พรวดเข้ามาบริกรรมคาถา อึดใจเดียวร่างนักรบโบราณก็หายวับไป

“กำนัน?” ประดับอุทานทึ่งตะลึงงัน

เมื่อนักรบโบราณหายไปแล้ว ลูกน้องกำนันก็ช่วยทำแผลให้ลูกน้องประดับ ส่วนกำนันก็เข้าช่วยผกาอย่างหาเศษหาเลย แต่ไม่ทันไรประดับก็ออกมาพร้อมปืนจ่อไปที่กำนัน เอ่ยขอบใจแต่ปืนพร้อมยิง กำนันพูดอย่างไว้เชิงว่าตนเพิ่งช่วยชีวิตเขาไปเมื่อครู่นี้เอง

“นั่นมันพอแล้วสำหรับคำขอบใจที่ฉันบอกไป ถ้ากำนันไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าถ้ำก็บอกมาว่าสะกดรอยตามมาทำไม” กำนันบอกว่ารู้ว่าเขามาตามหาสมบัติที่ถ้ำลับแลแต่คงไม่ได้เตรียมตัวมารับมือ ผกาใจไม่ดีบอกประดับว่าเรากลับดีกว่า เพราะเขาก็ได้เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินไปให้ท่านแล้ว

ขณะประดับพาผกาและลูกน้องออกไปนั้น กำนันมองตามอย่างสงสัย...

“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงิน...โล่โลหะเขียวของโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์...หรือว่า?” กำนันฉุกคิดตาเป็นประกาย!

ooooooo

สัมฤทธิ์ถูกจับไปขังที่สถานีตำรวจ มันเอะอะโวยวายอวดอ้างบารมีกำนันผู้เป็นพ่อ ขู่ยงยุทธว่าพ่อกำนันไม่ปล่อยให้ตนถูกขังอยู่ในนี้หรอก

ยงยุทธเดินมาหาขุนเดชที่อยู่กับดาราและบัวทองบอกว่า สัมฤทธิ์หมดสิทธิ์ที่จะออกมาอาละวาดหาเรื่องเดือดร้อนให้ใครอีกแล้ว ขุนเดชติงว่า คุกแค่นั้นขังมันได้ไม่นานหรอก

“ถึงมันจะเป็นลูกชายกำนัน แต่ทุกคนก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน” ยงยุทธตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“งั้นฉันจะคอยดูว่าแกจะรับมือกับอิทธิพลเถื่อนได้สักกี่น้ำ”

ยงยุทธโมโหจนดาราต้องหย่าศึก เตือนสติว่า “พวกเธอเป็นเพื่อนกันนะ เรื่องแค่นี้อย่าต้องมาทำให้แตกแยกกันเลย” ทั้งคู่จึงสงบลง ขุนเดชขอตัวกลับ บัวทองบอกยงยุทธว่าควรจะฟังขุนเดชบ้างเพราะขุนเดชเป็นห่วงเขา ยงยุทธบอกว่าตนจะระวังตัวก็แล้วกัน บัวทองจึงออกไปเพื่อบอกขุนเดช

ยงยุทธขอคุยกับดาราเรื่องขุนเดชเป็นการส่วนตัว ยงยุทธเล่าข้อสงสัยต่อขุนเดชให้ดาราฟังว่า ขุนเดชเคยบอกว่าเขาไม่เหลือวิชาของลุงเถินที่ถ่ายทอดให้แม้แต่นิดเดียว แต่เหตุการณ์เมื่อคืนตนเห็นขุนเดชจัดการสัมฤทธิ์แล้วเชื่อว่าขุนเดชโกหกแน่ๆ เพราะฝีมือตอนนี้ของขุนเดชร้ายกว่าที่ตนเคยรู้จักด้วยซ้ำ

“แล้วขุนเดชจะทำอย่างนั้นทำไม”

“ผมไม่รู้... แต่ถ้าเหตุผลที่มันโกหกผมเป็นเรื่องไม่ดีละก็...”

“ยงยุทธ!!” ดาราอุทานเรียกใจคอไม่ดีกับท่าทีขึงขังของเขา

แล้วดาราก็ได้รับรู้ตอกย้ำคำพูดของยงยุทธ เมื่อได้ฟังเปี๊ยะเล่าถึงความเก่งกาจของขุนเดชที่ปราบพวกนักเลงให้เพื่อนๆฟัง อีกทั้งกบนักศึกษาหญิงที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็ยืนยันอย่างชื่นชม ดาราก็เริ่มคิดตามคำพูด ของยงยุทธ

และวันนี้เอง ดาราถูกงูเห่ากัดขณะออกพื้นที่ ขุนเดชรีบเข้าช่วยเขาดูดพิษงูจากบาดแผล ฉีกแขนเสื้อมัดเหนือบาดแผลแล้วอุ้มดาราพาไปที่รถจี๊ปของทีมสำรวจขับออกไปอย่างเร็ว

ระหว่างทางเขาคอยบอกดาราว่าห้ามหลับ ให้มองหน้าตนไว้ ดาราพึมพำในสภาพเกือบหมดสติว่า

“ขุนเดช...ฉัน...ฉันรักเธอนะ...ขุนเดช ฉันเชื่อว่าเธอเป็นคนดี...” พลางมือเธอก็ไขว่คว้าเหมือนหาที่ยึด ขุนเดชกุมมือเธอไว้ พูดอย่างใจคอไม่ดีว่า

“คุณจะตายไม่ได้นะดารา...คุณต้องอยู่กับผม...” แต่แล้ว ดาราก็ค่อยๆหลับตาแน่นิ่งไป ขุนเดชเรียกอย่างตกใจสุดขีด “ดารา...ดารา!!”

ooooooo

ประดับเอาเทวรูปนารายณ์เนื้อเงินไปวางไว้ที่ทิศพายัพในคฤหาสน์ของปราชญ์

“ขอบใจมากนะประดับ เหนื่อยมากเลยสิกว่าจะได้มา อีกเดี๋ยวอาจารย์ก้องเกียรติจะมาทำพิธีให้ฉันแล้ว เธอไปพักผ่อนได้ ไม่ต้องอยู่กับฉันหรอก” เมื่อประดับจะออกไป ปราชญ์พูดอีกว่า “อ้อ...ฉันฝากเธอให้จัดการอีกเรื่องหนึ่ง ช่วยไปดูยัยปาให้ฉันหน่อย หมู่นี้ชักทำตัวเหลวไหลเข้าไปทุกวัน ฝากด้วยนะ”

ประดับรับคำเดินออกไป แล้วหันมองปราชญ์ที่กำลังชื่นชมเทวรูปด้วยแววตาร้ายลึก

แล้วประดับก็ดูแลปารมีอย่างใกล้ชิดลึกซึ้งถึงเตียงนอน ปารมีคบประดับอย่างเด็กสาวใจแตก แต่ประดับ มีแผนลึกซึ้งที่จะผ่านปารมีไต่เต้าขึ้นเป็นเขยรัฐมนตรี!

วันนี้ คุณหญิงผู้เป็นแม่จะพาปารมีไปโชว์ตัวกับลูกชายเจ้าสัวที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก หมายจับลูกเจ้าสัวนักเรียนนอกมาเป็นเขย แต่หารู้ไม่ว่า ขณะประดับมาเปิดประตูรถให้ปารมีนั้น เธอพูดเบาๆกับเขาว่า

“ประดับไม่ต้องห่วงนะคะ ทั้งหัวใจและร่างกายของปาเป็นของพี่คนเดียว...ปาได้ยินมาว่า คุณพ่อจะส่งพี่ไปจัดการธุระที่สุโขทัย พี่ต้องทำงานให้คุณพ่อประทับใจให้ได้นะ แล้วปาจะสนับสนุนพี่เต็มที่”