วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องย่อ ขุนเดช ตอน1 ละคร ช่อง7



ในโบสถ์วัดหลวงพ่อสุข เบื้องหน้าพระประธานสีทองอร่าม พระพักตร์เหมือนเพ่งมองลงมายังพุทธบริษัทด้วยความกรุณาปรานี แต่ ณ นาทีนี้ มีขุนเดช กับยงยุทธ สองหนุ่มฉกรรจ์ที่ก้มกราบพร้อมถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่องค์พระ

หลังจากนั้น สองหนุ่มหันไปหยิบเชือกป่านที่อยู่ในพานข้างตัวขึ้นพันข้อมือเรื่อยลงมาจนถึงกำปั้น สายตาจับจ้องกันอย่างดุดัน

ณ โบราณสถานแห่งหนึ่ง หลวงพ่อสุขนั่งสมาธิ เจริญภาวนาอยู่กลางโบราณสถาน ครู่หนึ่ง ท่านลืมตาจากการเจริญภาวนา มองพระพุทธรูปที่เรียงรายตลอดสองข้างด้วยแววตากังวล เพราะพระพุทธรูปเหล่านั้นถูกตัดเศียรจนเหลือแต่พระศอ!

หลวงพ่อไอโขลกๆเพราะป่วยเป็นวัณโรคปอด ไอออกมาเป็นเลือดติดจีวร หลวงพ่อรู้ตัวว่า คงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว...

ที่วัดหลวงพ่อสุข หลังจากสองหนุ่มฉกรรจ์คาดหมัดแล้ว ก็ออกมาที่ลานวัด ต่างถอดเสื้อเหลือแต่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆของวัยฉกรรจ์ทั้งสวยงามและน่าเกรงขาม สองหนุ่มก้าวออกมาอย่างพร้อมที่จะประหมัดกัน

บรรดากองเชียร์มีทั้งชาวบ้านและเด็กวัดที่ถือหางคนละฝ่าย ต่างส่งเสียงเชียร์ฝ่ายของตนกันอึงคะนึง

ดาราลูกสาวลุงเถินช่างหล่อพระวิ่งมาบอกพ่อที่โรงหล่อพระ ให้รีบไปห้ามขุนเดชกับยงยุทธก่อนที่จะมีใครถูกหามส่งโรงพยาบาล ลุงเถินลงจากนั่งร้านแทนที่จะไปที่ลานวัด กลับวิ่งไปเอาดาบไทยที่แขวนเรียงรายอยู่ผนังเรือนเดินอ้าวไป

ooooooo

ที่ลานวัด ขุนเดชกับยงยุทธประหมัดกันแล้วท่ามกลางเสียงเชียร์ของทั้งสองฝ่ายลั่นลาน ขุนเดชถูกยงยุทธซัดจนจุกแล้วตามไปซ้ำด้วยแม่ไม้มวยไทยหักคอเอราวัณ โน้มคอขุนเดชมาตีเข่าแสกหน้าจนหงาย แล้วตามไปซ้ำรัวหมัดใส่ไม่หยุดจนขุนเดชทรุดฮวบลงไปกอง เลือดไหลลงมาปิดตาทั้งสองข้างจนมองไม่เห็น

ยงยุทธได้ที คว้าผ้าขาวที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้โยนไปตรงหน้าขุนเดช บอกให้หยิบขึ้นมา แสดงว่ายอมแพ้ตนแล้ว ขุนเดชก้มหยิบ มีเสียงฮือฮาขึ้นคิดว่าขุนเดชยอมแพ้ แต่ที่แท้ขุนเดชหยิบผ้าขาวขึ้นมาเช็ดเลือดที่ไหลเข้าตาแล้วโยนทิ้ง

“เมื่อกี้แค่อุ่นเครื่อง ของจริงมันต้องดูกันตอนนี้ต่างหากไอ้ยงยุทธ”

ยงยุทธสบถว่าอึดจริงๆ เมื่อกี้ตนก็แค่อุ่นเครื่องเหมือนกัน ว่าแล้วปรี่เข้าหา แต่คราวนี้ขุนเดชหลบหมัดยงยุทธได้อย่างคล่องแคล่วสวยงาม แล้วประเคนสองหมัดเข้าใต้คางซัดยงยุทธด้วยท่าหนุมานถวายแหวนเสียจนฝ่ายนั้นกระเด็น ไล่ถลุงด้วยจระเข้ฟาดหางอีก

ทั้งสองไล่ชกกันจนร่นไปถึงท้ายวัด บรรดากอง เชียร์ตามไปเชียร์กันอย่างเมามัน จนยงยุทธพลิกสถานการณ์เป็นต่อแล้วปรามขุนเดชว่า ให้ออมมือไว้บ้าง ทำให้ตนเครื่องร้อนจนต้องระเบิดแล้ว ว่าแล้วกระโดดถีบยอดอกจนขุนเดชกระเด็น แล้วตามไปซัดด้วยเถรกวาดลานเตะตัดทีเดียวขุนเดชก็ล้มลงไปกอง

ยงยุทธตามไปใช้เข่ากดหน้าอกขุนเดชลงกับพื้น ก้มปราม

“เลิกดันทุรังเสียทีเถอะวะเพื่อน ถ้าเป็นเชิงมวย ยอมรับเถอะว่าแกสู้ฉันไม่ได้” ขุนเดชยังพยายามจะลุกแต่ลุกไม่ได้เพราะโดนเข่ายงยุทธกดย้ำหนักขึ้นอีกบอกว่า “ดื้ออย่างแกสงสัยต้องซัดให้สลบถึงจะยอม”

ไม่ทันที่ยงยุทธจะซัดเพื่อนให้สลบ เสียงลุงเถินก็ตวาดขึ้น “พอได้แล้วไอ้ยงยุทธ!!” ทำให้ทั้งยงยุทธและขุนเดชหันมอง เห็นลุงเถินเข้ามาพร้อมกับดารา “ลุงเถิน” ขุนเดชอุทาน แต่ยงยุทธอุทาน “ดารา...”

ลุงเถินเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน เห็นสภาพแล้วพึมพำว่านี่คงซัดกันเต็มเหนี่ยวเลยล่ะสิ ยงยุทธซึ่งเป็นต่ออยู่โอ่นิดๆว่า รู้ผลแพ้ชนะแล้วด้วย

“อย่า...อย่าเพิ่งสรุปว่ามีคนชนะ เพราะข้าไม่ได้สอนเชิงมวยให้พวกเอ็งอย่างเดียว” พูดพลางกระแทกดาบไทยที่เอามาให้ทั้งสองคนรับไป สองหนุ่มเข้าใจความหมายนั้น ต่างชักดาบออกจากฝักฟึ่บ!

ดาราตกใจถามว่าพ่อจะทำอะไร ตนเรียกให้มาห้ามไม่ได้ให้มายุ

“ไม่มีอะไรหรอกดารา ลูกผู้ชายเขาจะวัดฝีมือกัน มันไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก”

ดาราโกรธพ่อสะบัดออกไปจากหลังวัด ยงยุทธ

จะตามไป ถูกขุนเดชเอาดาบมาขวางไว้ ปรามาสว่า

“แกจะยอมแพ้ฉันซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ...ไอ้ ยงยุทธ”

ยงยุทธชะงัก หันมองขุนเดช สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที

ส่วนดาราโกรธพ่อวิ่งตรงไปทางท่าน้ำวัด พอดีเจอพวกเด็กเหลือขอแถวหลังวัดกำลังใช้หนังสติ๊กยิงนกกันอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งเร่งเพื่อนๆให้รีบยิงเดี๋ยวหลวงพ่อกลับจากธุดงค์มาเจอได้ซวยกันแน่

“เด็กพวกนี้นี่มาแอบยิงนกกันในวัดอีกแล้ว ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันรึไง ไปเดี๋ยวนี้นะ” ดาราเอ็ดจนพวกเด็กๆหนีกันกระเจิง บางคนทิ้งหนังสติ๊กไว้ ดาราเห็นหนังสติ๊กก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้...

ooooooo

ดาราถือหนังสติ๊กวิ่งกลับไปที่ท้ายวัด ยงยุทธกับขุนเดชกำลังประดาบกันอย่างดุเดือด จังหวะหนึ่ง ขุนเดชฟันจนดาบของยงยุทธหลุดมือลอยคว้างไป แต่พอยงยุทธจะไปเก็บดาบ ก็ถูกขุนเดชเอาดาบขวางไว้ ยิ้มอย่างเป็นต่อขณะพูดว่า

“เชิงมวยฉันอาจจะสู้แกไม่ได้ แต่เชิงดาบของแกมันห่างจากฉันเยอะว่ะเพื่อน”

ยงยุทธยังไม่ยอมแพ้ ขุนเดชเลยต่อให้ โดยให้ยงยุทธใช้ดาบแต่ตนมือเปล่า ยงยุทธด่าเพื่อนที่ดูแคลนตนว่า “ไอ้เพื่อนเวร!!” แล้วกำดาบพุ่งเข้าฟันซ้ายขวาอย่างระห่ำ แต่ขุนเดชอ่านทางดาบของยงยุทธออก จึงหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายยงยุทธปักดาบลงกับพื้นปรี่เข้าแลกหมัดลุ่นๆกับขุนเดชจนต่างก็ปากแตกเลือดกำเดาไหล

“อ้าว...เฮ้ย...นี่มันซัดกันจริงๆแล้วนี่หว่า พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ แยกๆๆๆ” ลุงเถินตะโกน

แต่สองหนุ่มเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว ไม่ฟังเสียงแม้แต่ครู ดาราบอกให้พ่อหลบไปก่อน เมื่อห้ามไม่ฟังมันก็ต้องแบบนี้! ว่าแล้วก็เล็งหนังสติ๊ก นัดแรกถูกหัวยงยุทธอย่างจัง นัดที่สองถูกเข้าแสกหน้าขุนเดชจนร้องลั่น หยุดคู่ต่อสู้ได้ฉมัง!

ooooooo

หลังจากประหมัดประดาบกันจนเลือดตกยางออกแล้ว สองเกลอก็พากันไปนั่งทายาที่ท่าน้ำสระบัว ทาไปหยอกล้อกันไปประสาเพื่อนสนิท ยงยุทธทาก่อนพอส่งยาให้ขุนเดชปรากฏว่าหมดแล้ว ยงยุทธอ้างว่าก็ยามันเหลือนิดเดียวเอง

ดาราหมั่นไส้ทั้งสองคนมาก บอกว่าถ้าคราวหน้าเล่นกันแบบนี้อีกตนไม่ห้ามแล้ว จะปล่อยให้ถูกหามส่งโรงพยาบาลทั้งคู่เลย คำขู่ของดาราแทนที่จะทำให้สองหนุ่มจ๋อย กลับรวมหัวกันแกล้ง ดาราถูกยงยุทธจับยกพาดบ่าเอาไปโยนลงสระบัว ในขณะที่ขุนเดชยืนกอดอกดูหัวเราะชอบใจ

พอดาราพรวดพ้นน้ำก็ควักโคลนปาใส่ยงยุทธเต็มหน้า เขาเลยกระโดดลงสระบัวไล่เอาคืนจากดารา หัวเราะกันร่าเริง แต่ขุนเดชที่ยืนดูอยู่ จู่ๆก็ปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับ พลันบางภาพในอดีตก็แวบขึ้นในสมองเขา...

เวลานั้นขุนเดชในวัย 10 ขวบตามไปที่ถ้ำศิลาที่นายเดื่องผู้เป็นพ่อเฝ้าวัตถุโบราณอยู่ คืนนั้น ถูกโจรบุกปล้น ขุนเดชตกใจกลัว หลบเข้าไปในซอกหิน ได้ยินเสียงปืนปัง! ขุนเดชหลับตาปี๋ พอลืมตาขึ้นก็เห็นเงาที่ผนังถ้ำ เป็นภาพนายเดื่องคุกเข่า พริบตานั้น นายเดื่องถูกฟันคอขาดในดาบเดียว ขุนเดชช็อกตาเหลือก!

ดาราเห็นขุนเดชเอามือกุมขมับอย่างเจ็บปวด ทั้งสองรีบขึ้นจากสระบัว ยงยุทธพูดอย่างรู้อาการของเพื่อนรักว่าปวดหัวอีกแล้วหรือ ดาราบ่นว่า บอกแล้ว... จับดาบขึ้นมาสู้กันทีไรขุนเดชต้องเป็นแบบนี้ทุกที

“มาโทษผมได้ยังไงล่ะดารา ไอ้ขุนเดชมันก็เป็นของมันแบบนี้ตั้งแต่หลวงพ่อพามาอยู่ที่วัดนี่แล้ว ผมไม่ได้เพิ่งไปทำให้มันเป็นซะหน่อย”

ดาราจะพาไปหาหมอ ขุนเดชบอกว่าไม่ต้องเป็นแป๊บเดียวก็หาย ดาราประคองขุนเดชพาไปนั่งในรถที่ขับมาอย่างเป็นห่วง ยงยุทธมองภาพนั้นแล้วใจหวิวขึ้นมา พอได้ยินเสียงสตาร์ตรถ เขาร้องถามเหมือนตัดพ้อ...“อ้าว...แล้วผมล่ะ”

“ยืนตากโคลนให้แห้งไปคนเดียวแล้วกัน โทษฐานที่จับฉันโยนสระบัว...เชอะ!” ดาราร้องบอก แถมแลบลิ้นให้แผล็บหนึ่งแล้วขับรถพาขุนเดชกลับวัด

ooooooo

กลับถึงวัด ทั้งสองถูกหลวงพ่อสุขดุชุดใหญ่ว่า ที่นี่เป็นเขตวัด เป็นเขตอภัยทาน ไม่ใช่สนามมวยให้มาตีรันฟันแทงกัน ยงยุทธชี้แจงหน้าจ๋อยๆว่า ตนกับขุนเดชไม่ได้ทะเลาะกัน เลยโดนไม้เรียวหวดควับเข้าที่ต้นแขนจนสะดุ้ง

ขุนเดชบอกหลวงพ่อว่าอย่าไปว่ายงยุทธเลย ตนเป็นคู่ซ้อมมวยให้เอง เพราะปิดเทอมยงยุทธต้องลงแข่งกีฬาเป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อย ยงยุทธผสมโรงว่าใช่ หลวงพ่อถามว่าแล้วทำไมไม่บอกเสียแต่แรก ยงยุทธตีฝีปากว่าก็หลวงพ่อไม่ได้ถาม

“ไอ้ยงยุทธ!! เอ็งนี่มันทั้งกะล่อน ทั้งหัวหมอ ข้าชักเป็นห่วงแล้ว ถ้าเอ็งจบมาเอ็งจะทำให้วงการตำรวจเขาเสีย”

“ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เห็นมันทั้งกะล่อนทั้งกวนบาทาแบบนี้ แต่ถ้าไอ้ยงยุทธได้เป็นตำรวจเมื่อไหร่ ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นตำรวจที่ดีที่สุด” ขุนเดชพูดแล้วหันมองยงยุทธอย่างเชื่อมั่น ยงยุทธยิ้มรับตอบเพื่อนส่ายหน้าดักคอว่า

“ขอบใจว่ะเพื่อน ถึงแกจะชมฉันยังไงก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันโดนหลวงพ่อตีอยู่คนเดียว มันต้องเท่าๆกันเว้ย” พูดแล้วรุนขุนเดชเข้าไปให้หลวงพ่อทำโทษด้วย แต่หลวงพ่อไออย่างรุนแรงเสียก่อน ขุนเดชผวาเข้าดูอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้อง...ข้าไม่ได้เป็นอะไร คืนนี้เอ็งต้องนั่งสมาธิท่องบทสวดอยู่ที่นี่จนถึงเช้า ห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด เข้าใจไหมไอ้ขุนเดช” หลวงพ่อกำชับหนักแน่นแล้วลุกเดินออกไปจากโบสถ์ ทิ้งให้สองหนุ่มงุนงงว่าทำไมหลวงพ่อจึงเจาะจงขุนเดชคนเดียว??

ooooooo

เมื่อหลวงพ่อเข้ากุฏิ ท่านเปิดตู้เก็บของ หยิบดาบพกที่ปลอกดาบเป็นสีดำสนิท ลงลวดลายด้วยอักขระภาษาโบราณแต่เลือนรางเพราะความเก่า และมีฝุ่นจับเขลอะ หลวงพ่อชักดาบออกมาช้าๆเผยให้เห็นตัวดาบสีดำแต่ที่คมดาบเป็นสีเงิน แต่พอชักออกมาได้ครึ่งเดียวดาบก็หลุดจากฝัก เพราะดาบหักเหลือเพียงครึ่งเดียว!

หลวงพ่อมองดาบในมืออย่างคิดถึงที่มาของดาบไทยสีดำเล่มนี้...

เมื่อ 10 ปีก่อน...ที่ถ้ำศิลาบนเขาหลวง หลวงพ่อสุขถือกลดธุดงค์เดินผ่านมาหยุดดูทีมงานขุดแต่งโบราณสถาน ที่ทีมงานกำลังทยอยนำวัตถุโบราณที่ค้นพบในถ้ำศิลาออกมาขึ้นรถเพื่อนำกลับไปศึกษาและเก็บในพิพิธภัณฑ์

เวลานั้น ขุนเดชในวัยซนตามดูโบราณวัตถุที่ทีมงานนำออกไปอย่างตื่นตาตื่นใจ บอกนายเดื่องว่าขอดูใกล้ๆ ได้ไหม นายเดื่องอนุญาตแต่ห้ามจับเดี๋ยวจะแตกหักเสียหาย

“ผมรู้ครับพ่อ ของเก่าของโบราณเราต้องระมัดระวัง ดูแลให้ดี เพราะมันมีคุณค่ามากทางประวัติศาสตร์” ขุนเดช ตอบอย่างฉะฉานด้วยวัยเพียง 10 ขวบ ทำให้อาจารย์ประทีปนักอนุรักษ์โบราณสถานลูบหัวเอ่ยอย่างชื่นชมว่า สมกับเป็นลูกนายเดื่องจริงๆ ตัวแค่นี้ก็รู้เรื่องรู้ราวแล้ว

“โตขึ้นผมอยากเป็นนักโบราณคดี อยากทำงานอย่างพ่อ อย่างอาจารย์ครับ”

ทั้งอาจารย์ประทีปและนายเดื่องหัวเราะอย่างเอ็นดูในความช่างพูดช่างคิดของขุนเดช ขณะนั้นเอง นายเดื่องสังเกตเห็นพระธุดงค์องค์หนึ่งยืนมองอยู่จึงออกไปกราบ

เมื่อรู้ว่าท่านเป็นพระธุดงค์จึงนิมนต์ให้ท่านปักกลดแถวนี้ดีกว่าเพราะใกล้ค่ำแล้ว และอีกสักประเดี๋ยวทีมงานก็กลับ เหลือตนเฝ้าพระศิลาในถ้ำคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าข่าวการขุดพบครั้งนี้จะไปถึงหูใครบ้าง ขุนเดชจึงขออยู่เฝ้ากับพ่อด้วย

อาจารย์ประทีปจะให้ปืนนายเดื่องไว้ใช้ นายเดื่อง บอกว่าตนไม่ค่อยถนัดเรื่องปืน แค่ดาบดำของตนเล่มเดียวก็เอาอยู่แล้ว

คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้ว ขุนเดชก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีก...เห็นภาพที่ตัวเองในวัย 10 ขวบ มือหนึ่งถือดาบที่หักครึ่ง อีกมือหนึ่งถือปลอกดาบ วิ่งเตลิดไปในป่าอย่างหวาดกลัวสุดขีด ท่ามกลางการไล่ล่าเอาชีวิตเพื่อปิดปากของพวกโจร!

ooooooo

ขุนเดชปวดหัวจี๊ดจนครางออกมา หลวงพ่อบอกให้ตั้งสมาธิ สวดแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร เมื่อจิตนิ่งความเจ็บปวดก็จะทุเลา

“หลวงพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับผมเหรอครับ ทุกครั้งที่ผมปวดหัว ผมจะเห็นภาพที่ไม่เคยเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน มีแต่เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดทรมาน...”

“ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะขุนเดช จิตใจของเอ็งต้องนิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในศีลอยู่ในธรรม ละเว้นบาป แล้วหนักจะเป็นเบา”

“ครับหลวงพ่อ” ขุนเดชรับคำพนมมือไหว้หลวงพ่อ แล้วหันนั่งสมาธิสงบจิตและแผ่เมตตาตามที่หลวงพ่อบอก

หลวงพ่อออกมาหน้าโบสถ์ ในใจมีแต่ความกังวลหนักใจกับชะตากรรมของขุนเดชที่ท่านมองเห็นแต่เพียงผู้เดียว ท่านรำพึงด้วยความวิตกว่า

“ความจริงเป็นสิ่งหนีไม่พ้น อาตมาพยายามช่วยแล้ว แต่ก็คงฝืนกรรมลิขิตของเอ็งไว้ไม่ได้อีกแล้ว...ขุนเดช”

หลวงพ่อเดินออกแล้วปิดประตูโบสถ์จนชิดสนิท เพ่งมองภาพเขียนของ “ทวารบาล” ยักษ์หน้าดุดันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโบสถ์ สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน

แล้วคืนนี้เอง หลวงพ่อสุขก็เกิดภาพนิมิต “ในอนาคต” เห็นโจรอุ้มเศียรพระพุทธรูปที่ลักตัดมา แล้วร่างโจรก็ชะงักตาเหลือกเมื่อถูกขุนเดชถือดาบดำที่เพิ่งฟันหลังโจร เดินเข้าหาทั้งที่มันร้องขอชีวิต แล้วมันก็ร้องโหยหวนก่อนสิ้นใจ

ขุนเดชเสียบดาบดำเข้าฝักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เบื้องหลังขุนเดชปรากฏแสงเพลิงโชนขึ้น ประหนึ่งขุนเดชคือยักษ์ทวารบาลที่มีหน้าที่ปกป้องพุทธสถานให้ลูกหลานสืบไป...

ooooooo

ที่ตลาดเก่าในช่วง พ.ศ.2500 ที่แผงขายหนังสือและร้านรวงข้างทาง ยงยุทธพาดาราซ้อนท้ายจักรยาน-ยนต์ขี่มาตามทาง ยงยุทธคุยถึงหนังเล็บครุฑที่เพิ่งไปดูกันมาว่าสนุกกว่าในหนังสือเสียอีก ดาราติงว่าตนอยากดูยอดเยาวมาลย์มากกว่า ยงยุทธพูดอย่างผิดหวังว่า แล้วทำไมไม่บอก

ดาราบอกว่าก็เพราะเขาเป็นคนจ่ายค่าตั๋วตนเกรงใจ ยงยุทธบ่นเสียดายว่า เห็นเธออ่านหนังสือเตรียมสอบหน้าดำคร่ำเครียด อยากให้พักสมองบ้างเลยพามาดูหนัง

ครู่หนึ่ง ดาราขอแวะลงไปซื้อของหน่อย ยงยุทธจึงจอดรถคอย ดาราไปที่ร้านขายยาจีน ได้ยาแล้วถามอาแปะที่เจียดยาให้ว่า กินแล้วหายแน่นะ แต่พอออกจากร้านก็เจอประดับลูกชายนายพลที่ชอบอวดอ้างบารมีพ่อมาข่มเหงชาวบ้าน มันเห็นดาราก็เข้ามาป้อ เมื่อดาราปฏิเสธมันก็คว้ามือชวนนั่งรถไปเที่ยวบางปูกัน

ดาราเอากระเป๋าถือฟาดมันก็ถูกบรรดาสมุนกรูกันเข้ามารุมล้อม ยงยุทธเห็นดาราหายไปนานจึงไปตาม เจอเธอกำลังถูกพวกประดับรุมล้อม เขาด่าว่าพวกหมาหมู่รังแกผู้หญิง ประดับส่งสัญญาณให้สมุนเข้าเล่นงานเขา ยงยุทธต่อสู้อย่างมีชั้นเชิงจนพวกสมุนประดับปากแตกเลือดกำเดาพุ่ง พวกมันจึงชักมีดสปริงออกมากันทุกคน!

ยงยุทธเห็นไม่ได้การรีบจูงมือดาราพาวิ่งกระแทกประดับกระเด็นแล้วพุ่งออกไป พาดาราวิ่งไปหลบแถวกองลังกระดาษ เมื่อพวกประดับตามมาไม่เจอ มันสงสัยจะวิ่งไปอีกทาง จึงพากันวิ่งไปทางนั้น

ระหว่างซุ่มอยู่ ยงยุทธกอดดาราไว้แน่นเพราะที่แคบและปกป้องเธอ ครู่หนึ่ง ดาราถามว่าพวกมันไปหรือยัง ยงยุทธปดว่ายังและกอดเธออยู่อย่างนั้น จนดาราจับได้ว่าโกหก เลยทุบเสียหลายอั้ก

ขุนเดชตามมาเจอ ดารารีบผลักยงยุทธออก ยงยุทธหน้าเสียที่ดาราเป็นห่วงความรู้สึกของขุนเดชมาก

เมื่อกลับมาถึงโรงหล่อพระ คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พอยงยุทธรู้ว่าประดับเป็นลูกนายพล เขาพูดอย่างเจ็บใจว่า นึกแล้วว่ามันกร่างกันขนาดนั้นที่แท้ก็ลูกพวกมีสี ดาราบอกว่ามันตามตื้อตนมาหลายครั้ง แต่ไม่นึกว่ามันจะตามมาถึงที่นี่

“ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมันคงไม่เลิกยุ่งกับดาราแน่” ขุนเดชหน้าเครียด ดาราตกใจสั่งห้ามยุ่งกับพวกมันเด็ดขาด “แต่เราปล่อยให้มันมารังควานดาราแบบนี้ไม่ได้” ดาราฟังแล้วยิ่งกังวล บอกว่าไม่ต้องห่วง ตนดูแลตัวเองได้ ย้ำกับขุนเดชว่า


“ฉันไม่อยากให้พวกนายเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ถ้ามีเรื่องขึ้นมายงยุทธจะทำยังไง จะยอมให้อนาคตตำรวจดับเหรอ แล้วขุนเดชล่ะ อยากโดนไล่ออกจากศิลปากรเหรอ”

“แต่พวกที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น ถ้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟัน มันไม่มีทางหยุด” ขุนเดชยังฮึดฮัด

พอดีลุงเถินมาทักว่าสุมหัวทำอะไรกัน นัดจะไปเที่ยวไหนหรือ ดาราเลยพาลไปลงที่พ่อหาว่าสอนให้คนอื่นไปตีรันฟันแทงกัน ทำเอาลุงเถินงงถามว่าไหงตนโดนด่าซะงั้น ดาราหน้าบอกบุญไม่รับเอายายัดใส่มือขุนเดชบอกว่ายาแก้ปวด กินให้หมดด้วย แล้วออกจากห้องปิดประตูปัง ลุงเถินส่ายหน้ายิ้มๆบ่นงึมงำ

“ไอ้ลูกคนนี้ ตกลงมีเรื่องอะไรกันเนี่ย” พอรู้เรื่อง ลุงเถินบ่นอย่างระอากับพฤติกรรมของประดับที่ระรานชาวบ้านไปทั่ว แต่ทำผิดทีไรเรื่องก็เงียบหายไปทุกที เตือนสองหนุ่มว่า

“พวกเอ็งสองคนอย่าไปยุ่งกับพวกมันเชียวนา ข้ามันนักเลงเก่า ไอ้เรื่องแบบนี้ผ่านมาหมดแล้ว ใจร้อนวู่วามไปสุดท้ายก็พังกันหมด ข้าถึงต้องเลิกหันมาหล่อพระนี่ไง”

ไม่ทันไร ลูกจ้างคนหนึ่งก็หน้าตาตกใจเข้ามาบอกลุงเถินว่า พระพุทธรูปที่นายพลสั่งให้หล่อถวายวัดโดนสั่งยกเลิกหมดแถมใบสั่งของคนอื่นก็ระงับหมด บอกว่าจะไปจ้างโรงหล่ออื่นแทน ถามว่า “เอาไงดีพี่”

“จะเอาไง...ก็ฉิบหายน่ะสิ เนี่ย มีเรื่องกับลูกมันไม่ทันไร มันเล่นกูซะแล้ว” ลุงเถินบ่นทั้งแค้นทั้งกลุ้ม

ยงยุทธกับขุนเดชหันมามองหน้ากันขวับ

ooooooo

ยงยุทธกับขุนเดชต่างคนต่างคิดแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่าย คิดอย่างไร คืนนี้จึงคุมเชิงกันอยู่ แต่ขุนเดชเสียที พอเข้านอนคิดว่ายงยุทธหลับแล้วก็คว้าดาบไม้ที่เตรียมไว้จะออกไป ปรากฏว่าประตูถูกล็อกจากข้างนอกเพราะยงยุทธแอบออกไปก่อนแล้ว

รู้ว่าประดับอยู่ที่ไนต์คลับ ยงยุทธจึงไปดักที่นั่น ตกดึกเห็นประดับเดินกอดหญิงสาวออกมา สั่งสมุนให้แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน ส่วนตัวเองประคองหญิงสาวไปที่รถ พากันออกไป แต่พอยงยุทธจะตาม ก็ถูกขุนเดชตามมารั้งแขนไว้เตือนสติว่า “คนเดียวจะไปสู้กับลูกปืนมันได้ยังไง”

“ไอ้ขุนเดช! อย่ามายุ่งนะเว้ย กลับวัดไปซะ คนเดียวฉันเอาอยู่” เมื่อขุนเดชไม่ยอม ยงยุทธผลักอกเพื่อนบอกว่า “ดาราเขาชอบแก เขาถึงเป็นห่วงหาซื้อหยูกยาให้ กำชับไม่ให้แกมีเรื่องกับไอ้ประดับ แต่ฉันไม่เคยอยู่ในสายตาของดาราเพราะฉะนั้นฉันมีเรื่องได้”

ยงยุทธหันมองหน้าขุนเดชแล้วมองพวกสมุนร้องท้าว่าใครอยากโดนกระทืบก็เข้ามา พวกมันจำได้ว่าเพิ่งมีเรื่องกับยงยุทธมาเมื่อกลางวันก็กรูกันเข้ามา พริบตานั้นยงยุทธหันมาชกท้องขุนเดชจนจุก พูดอย่างพร้อมลุยว่า

“ขี้กลากอย่างพวกมันฉันคนเดียวรับมือสบาย ส่วนไอ้ขี่โอ่ลูกนายพลนั่น ฉันจะสั่งสอนมันไม่ให้มายุ่งกับดาราอีก” พูดแล้วยงยุทธวิ่งไปเลย

ยงยุทธตามไปทุบกระจกรถที่ประดับจอดข้างทางกำลังนัวเนียกับสาวอยู่เบาะหลัง ประดับพรวดขึ้นตะโกนถามว่า “ใครมาทะลึ่งกับกูวะ ไม่รู้ซะแล้วว่ากูลูกใคร” พลางควักปืนออกมาส่าย

ยงยุทธเอาผ้าขาวม้าพันหน้าเหลือแต่ลูกตา โผล่มายิงหนังสติ๊กใส่มือที่ถือปืนจนปืนร่วง สาวในรถเห็นท่าไม่ดีหอบผ้าวิ่งออกจากรถ ส่วนยงยุทธก็กระดิกนิ้วท้าประดับให้ตามมา
“ยั่วกูเหรอ มึงตายแน่!” ประดับคำราม

ส่วนขุนเดชจะตามยงยุทธไปก็ยังจุกจนลุกไม่ขึ้น ทันใดนั้น พวกสมุนของประดับก็กรูกันเข้ามาอีก

ขุนเดชกัดฟันลุกขึ้นสู้กับสมุนของประดับแบบหนึ่งต่อสี่ ฝ่ายหนึ่งใช้ดาบไม้อีกฝ่ายใช้มีดสปริง แต่มันก็ทำอะไรขุนเดชไม่ได้ ถูกขุนเดชซัดลงไปกองสามคน อีกคนหนึ่งอวดดีปรี่เข้ามาแทง

ทันใดนั้น ขุนเดชก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา แต่ก็ยังต่อสู้กับสมุนของประดับได้ ขุนเดชหวดดาบไม้ไปมา ภาพตอนเด็กที่ตื่นกลัวกับการที่เห็นพ่อถูกฟันคอขาดไปต่อหน้า ต่อตาจนขุนเดชคลุ้มคลั่งขึ้นมา หลวงพ่อสุขต้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตา จนเกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้น เมื่อหลวงพ่อเข้าถึงตัว ขุนเดชก็เริ่มสงบลง หลวงพ่อลูบหัวเป่ากระหม่อม ขุนเดชก็แน่นิ่งหมดสติไปบนตักของหลวงพ่อนั่นเอง
“เวรกรรม...นี่มันเวรกรรมอะไรของเอ็ง...ขุนเดช” หลวงพ่อพึมพำอย่างเวทนา

ขุนเดชวันนี้ เวลานี้ ที่ต่อสู้กับพวกสมุนของประดับอยู่ในอาการเดียวกัน เขาฟาดฟันดาบไม้จนพวกนั้นแตกหนีกันกระเจิง

พอพวกมันหนีไปแล้ว ขุนเดชเอาดาบปักลงที่พื้น ชันเข่าก้มหน้ามองดิน เสียงฟ้าร้องคำรามอย่างน่ากลัว

เมื่อขุนเดชเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าแววตาของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่ขุนเดชคนเดิม แต่ราวกับยักษ์ทวารบาลที่เฝ้าหน้าประตูโบสถ์ได้เข้าสิงร่างเขากระนั้น!!

ooooooo

ดารากำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบ มีหนังสือและภาพโบราณสถานมากมายกองอยู่บนโต๊ะ ลุงเถินผ่านมาเห็นถามว่ารูปอะไร ดาราบอกว่าเป็นรูปถ่ายประตูทวารบาลไม้แกะสลัก จากประตูปรางค์วัดมหาธาตุเมืองเชลียงศรีสัชนาลัย บอกว่าทวารบาลอันนี้เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และความเชื่อของคนไทยมาก

“ไอ้เรื่องนั้นพ่อไม่ทันคิดถึงหรอก สนใจดาบที่อยู่ในมือเทวดาท่านต่างหาก ท่านคงจะทำหน้าที่ปกป้องพุทธสถานอย่างถึงที่สุด...สู้จนดาบหัก”

“พ่อ! คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย คงจะแตกหักเสียหายก่อนจะมีคนไปค้นพบต่างหาก”

ลุงเถินบอกยิ้มๆว่าไม่รบกวนแล้ว อ่านหนังสือต่อเถอะ แล้วเดินไป แต่ดารายังติดใจ หยิบภาพถ่ายทวารบาลมาดูแล้วคิดคล้อยตามที่พ่อพูด พึมพำ

“หรือที่พ่อคิดจะเป็นเรื่องจริง...” นิ่งคิดแล้วส่ายหน้าบ่นตัวเอง “ไปกันใหญ่แล้วเรา...” วางภาพลงแล้วหันไปหยิบหนังสือมาอ่านต่อ...

ooooooo

ประดับไล่ตามยงยุทธไปถึงชุมทางรถไฟ ยง-ยุทธล่อให้ประดับยิงปืนจนหมดลูกโม่แล้วฉวยโอกาสลุยเข้าไป ในขณะที่ประดับกำลังเติมกระสุน บิดข้อมือจนปืนร่วง ประดับหมดท่าอ้อนวอนขอชีวิตอยากได้อะไรก็เอาไปเลย ยงยุทธบอกว่าตนไม่ได้ปล้น แต่จะสั่งสอนให้จำใส่กะโหลกเอาไว้ว่า

“พ่อมึงไม่ได้ใหญ่คับฟ้าอยู่คนเดียว ถ้ามึงยังไม่เลิกรังควานคนอื่น กูจะตามล่ามึงเหมือนหมาล่าเนื้อ”

ประดับสาบานว่าจะไม่ทำอีก ก้มมองพื้นเห็นท่อนไม้ก็หมายตาคอยจนยงยุทธสั่งสอนเสร็จเดินออกไป ก็คว้าไม้กระหน่ำเสียจนยงยุทธหมดสติ มันกระชากขึ้นดูหน้าจำได้ว่าเป็นเด็กวัด มันลากไปมัดตรึงไว้กับรั้วชุมทางรถไฟ เอากระเป๋าสตางค์ไปเปิดดู

พอรู้ว่าเป็นนักเรียนตำรวจมันเย้ยว่ากล้ามากที่คิดจะตั้งศาลเตี้ย กร่างนักก็ให้รู้ไปว่าหมดอนาคตใส่เครื่องแบบตำรวจตั้งแต่วันนี้

ยงยุทธรู้สึกตัวขึ้นมา ขณะกำลังโต้เถียงกันนั่นเอง ยงยุทธเห็นเงาขุนเดชเดินมาข้างหลังประดับ แล้วใช้ดาบไม้ฟาดแขนประดับจนหัก ขุนเดชยืนมองประดับด้วยสายตาดุดันไร้ความปรานี แม้ประดับจะอ้อนวอนสาบานว่าจะไม่ทำอีก ขุนเดชก็ไม่รามือ เดินทื่อเข้ามาเล่นงาน ประดับหนีตายไปสุดชีวิต

ยงยุทธเห็นถึงความผิดปกติในสีหน้าและแววตาของขุนเดช ร้องบอกอะไรก็เหมือนเขาไม่รับรู้ จึงพยายามบิดมือแก้เชือกที่มัด พอหลุดก็วิ่งตามไป

ขุนเดชตามไปกระหน่ำประดับไม่ยั้ง ยงยุทธตะโกนบอกว่าพอแล้ว เอาแค่สั่งสอนอย่าให้ถึงตาย เพราะถ้าฆ่ามันตายตัวเองก็จะกลายเป็นฆาตกร ประดับอาศัยช่วงจังหวะนั้นวิ่งหนีไปได้

ขุนเดชจะไล่ตาม แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ปวดหัวจนล้มลง ยงยุทธรีบเข้าประคองร่างที่หมดสติ โชคดีมีที่ไฟหน้ารถสาดเข้ามา คนขับจอดรถลงมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม

เขาคืออาจารย์ประทีปนั่นเอง...

ooooooo

ยงยุทธให้พาขุนเดชไปที่วัด อาจารย์ประทีปถามว่าแน่ใจหรือว่าจะไม่ไปส่งโรงพยาบาล ยงยุทธบอกว่าเพื่อนตนเป็นแบบนี้ประจำเดี๋ยวก็หาย และเมื่อมาถึงวัด ยงยุทธบอกขุนเดชว่า

“ถึงวัดแล้ว แข็งใจหน่อยนะเว้ยไอ้ขุนเดช”

อาจารย์ประทีปสะดุดหูชื่อขุนเดช แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน เมื่อไร และเป็นใคร??

และเมื่อเข้าวัด เห็นพระสงฆ์ท่านหนึ่งยืนมองมาจากบนศาลา อาจารย์ยกมือไหว้ หลวงพ่อพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าข้างใน อาจารย์ประทีปรู้สึกเคยพบเคยเจอกับพระรูป นี้ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเจอที่ไหน...

ooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น